ตั้งแต่ Raspberry Pi เปิดตัว ก็ได้ข่าวเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลขนาดเล็กกว่าฝ่ามืออยู่บ่อยๆ ตอนนี้ก็กำลังจะมาอีกรายแล้วครับ Gooseberry Board
ข้อมูลจำเพาะ
สิ้นสุดการรอคอย แม้จะมาเล่าข่าวช้าไปนิด จากข่าวเก่า ตอนนี้ เปิดจำหน่าย Raspberry Pi คอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋ว แต่แสดงภาพขนาด 1080p ได้ ลง Linux ได้ มีสองแบบคือ Model A ซึ่งมี RAM ขนาด 256 MB ( ตอนแรก Model A วางแผนว่าจะมีแค่ 128 MB ) และ USB 1 ช่อง ราคา 25 ดอลลาร์สหรัฐ และ Model B ซึ่งมี RAM ขนาด 256 MB มี USB 2 ช่อง และมี Ethernet ราคา 35 ดอลลาร์สหรัฐ
เท่าที่อ่านจากข่าว ดูเหมือนขายเกลี้ยงแล้ว ต้องจองและรอการผลิตรอบหน้า ทั้งนี้ผู้คิดค้นคือ Raspberry Pi Foundation ใช้วิธีให้ลิขสิทธิ์ RS Components และ Premier Farnell ไปผลิตและจำหน่าย
ไมโครซอฟท์เผยแผนการออก Windows Embedded รุ่นหน้า ซึ่งจะวางกำหนดการณ์ให้สอดคล้องกับ Windows 8
สำหรับ Windows Embedded Standard จะสนับสนุนซีพียูตระกูล ARM ด้วย ทั้งนี้ไมโครซอฟท์ยังไม่บอกนะครับว่า Windows 8 จะออกเมื่อไร
โครงการ BeagleBoard เป็นโครงการจาก Texas Instrument (TI) ที่จะออกแบบบอร์ดพัฒนาต้นแบบเพื่อให้นักพัฒนาสามารถสร้างสินค้าจากชิป ARM ของ TI ได้โดยง่ายโดยตัวบอร์ดที่เปิดเผยการออกแบบทั้งหมด ตอนนี้ทางโครงการก็ออกสินค้าใหม่คือ BeagleBone บอร์ดพัฒนาขนาดเล็กลงเพื่อพัฒนางานที่ไม่ต้องการแสดงผลออกทางหน้าจอ
BeagleBone อาศัยชิป TI AM3358 ที่เป็น Cortex-A8 สัญญาณนาฬิกา 720MHz ที่มีราคาต่อชิปเพียง 5 ดอลลาร์ต่อมาพร้อมกับ USB2.0 และพอร์ตแลนกิกะบิตในตัว ส่วนตัวบอร์ดนั้นจะต่อ I/O ออกมาให้, ใส่แรม 256MB, ชิปควบคุม SD, และสามารถพัฒนารวมถึงดีบักได้ผ่านทาง USB Serial/JTAG ในพอร์ตเดียว
โครงการ Arduino นั้นเป็นโครงการสร้างบอร์ดสำหรับการพัฒนาคอมพิวเตอร์ฝังตัวที่ได้รับความนิยมในหมู่นักประดิษฐ์ค่อนข้างมากจากการที่มันรวมเอาทั้งมาตรฐานฮาร์ดแวร์ มีบอร์ดมาตรฐาน ทำบอร์ดเสริมออกมาขายได้ และมีชุดซอฟต์แวร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้มากกว่าการเขียนซอฟต์แวร์บนไมโครคอนโทรลเลอร์เปล่าๆ โดยก่อนหน้านี้บอร์ดทั้งหมดของ Arduino ใช้ชิปสถาปัตยกรรม AVR ของ ATMEL ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมเฉพาะ แต่มีชิปราคาถูกขายอยู่จำนวนมาก แต่สินค้าชุดใหม่ของ Arduino ก็เริ่มเปลี่ยนมาใช้ ARM แล้ว
ที่งานประชุมวิชาการ Black Hat ปีนี้ ทีมนักวิจัยด้านความปลอดภัยจากบริษัท Red Tiger Security ได้ขึ้นเวทีนำเสนอการค้นพบว่าอุปกรณ์ SCADA ที่มีเว็บเซิร์ฟเวอร์ในตัวถูกปล่อยให้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเอาไว้อย่างหละหลวม และอุปกรณ์หลายตัวสามารถค้นหาผ่านกูเกิลได้
ทีมวิจัยคือ Jonathan Pollet และ Daniel Michaud-Soucy ไม่เปิดเผยว่าพวกเขาใช้คำค้นหาใดในที่จะเจออุปกรณ์ SCADA เหล่านี้ แต่บอกเพียงว่าบางรายการ ผลการค้นหาระบุว่ารหัสผ่านของอุปกรณ์คือ "1234" อุปกรณ์ที่ค้นพบเช่น "RTU pump status" ซึ่งเป็นระบบรายงานผลระบบท่อน้ำ อีกรายการหนึ่งคือหม้อแปลงของบริษัท ABB Transformer ที่ไม่มีรหัสผ่านใดๆ ทำให้ทุกคนสามารถเข้าไปดูสถานะของเบรกเกอร์แต่ละตัวที่บริษัทนี้ดูแลอยู่ในลอนดอนได้
เรื่องหนึ่งที่ใหญ่มากของงาน Google I/O ในปีนี้คือการเปิดตัว Android Open Accessory Development Kit ให้นักพัฒนาสามารถพัฒนาฮาร์ดแวร์เพื่อทำงานกับ Android ได้ แต่ชุดพัฒนาจากบริษัท RT Corporation นั้นมีราคาถึง 12,000 บาท แต่เนื่องจากมันเป็นระบบที่พัฒนาจาก Arduino จึงมีบริษัทอื่นๆ สามารถพัฒนาบอร์ดที่ทำงานร่วมกันได้ขึ้นมา และผู้ผลิตรายแรกก็คือ Seeed Studio ที่เริ่มประกาศขาย Seeeduino แล้วในราคา 79.90 ดอลลาร์หรือประมาณ 2,400 บาทเท่านั้น
ชุด Seeeduino นั้นมีเพียงบอร์ดเชื่อมต่อเท่านั้นขณะที่ RT-ADK นั้นราคาจะรวมบอร์ดเซ็นเซอร์มาให้ด้วย แต่ด้วยราคาเพียง 1 ใน 5 การหาเซ็นเซอร์มาติดเองคงไม่ใช่เรื่องยากเกินไป
ตระกูลของชิป Fusion นั้นนอกจาก Zecate ที่ใช้ในโน้ตบุ๊กขนาดเล็กและ Ontario ที่ใช้ในเน็ตบุ๊กแล้วยังมีตระกูล G ที่ใช้สำหรับคอมพิวเตอร์ฝังตัวโดยก่อนหน้านี้มีการเปิดตัว T44R ที่ทำงานที่สัญญาณนาฬิกา 1.2GHz และกินไฟ 9W ไปก่อนแล้ว ในวันนี้ทางเอเอ็มดีก็เปิดตัวชิปในตระกูลนี้อีกสองตัวคือ T40E ชิปสองคอร์ที่กินพลังงาน 6.4W และ T40R ชิปคอร์เดี่ยวที่กินพลังงานเพียง 5.5W
Luigi Auriemma นักวิจัยด้านความปลอดภัยชาวรัสเซียได้ทดสอบความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ควบคุมอุปกรณ์ SCADA หลายยี่ห้อ เช่น Siemens, Iconics, 7-Technologies, และ DATAC พบว่าทั้งหมดมีปัญหาความปลอดภัยหลายต่อหลายประการ
ปัญหาที่พบในซอฟต์แวร์เหล่านี้มีตั้งแต่ Stack Overflow, Heap Overflow, Integer Overflow, การสั่งรันคำสั่งภายนอก, การจัดรูปแบบสตริง, การคืนหน่วยความจำซ้ำซ้อน, หน่วยความจำผิดพลาด, การเข้าถึงไดเรกทอรี, ตลอดจนปัญหาจากการออกแบบอื่นๆ จากซอฟต์แวร์ทั้งหมดรวมกว่า 30 จุด
ระบบ SCADA เป็นระบบที่นิยมใช้งานเพื่อตรวจสอบสถานะและควบคุมการทำงานของระบบสาธารณูปโภคเช่น ไฟฟ้า, น้ำประปา, ท่อก๊าซ, ท่อน้ำมัน, ระบบบำบัดน้ำเสีย หรือกระทั่งโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์
ไมโครซอฟท์ออก Windows Embedded Compact 7 หรือซอฟต์แวร์รุ่นที่เจ็ดของระบบปฏิบัติการฝังตัวที่เราเคยรู้จักกันในชื่อ Windows CE (หรือ Windows Embedded CE) ซึ่งนี่เป็นการออกรุ่นใหญ่ครั้งแรกในรอบ 5 ปีนับตั้งแต่ Windows CE 6.0 เมื่อปี 2006 และครั้งนี้ยังถือเป็นครบรอบ 15 ปีของ Windows CE รุ่นแรกด้วย
ของใหม่ใน Windows Embedded Compact 7 ก็คือรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ออกมาในช่วงหลายปีนี้ เช่น ARMv11, Bluetooth 2.1, DLNA 1.5, มัลติทัช นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับ IE ตัวใหม่ (เอนจินของ IE7 ผสมกับ IE8), Flash Player 10.1 และที่น่าสนใจที่สุดคือ Silverlight for Windows Embedded ซึ่งจะทำให้เราเขียนอินเทอร์เฟซบนอุปกรณ์พกพาด้วย Silverlight และ XAML ได้
ไม่ว่าเราจะใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สกันมากแค่ไหน แต่ซอฟต์แวร์ตัวหนึ่งที่ทุกเครื่องมีและเป็นซอฟต์แวร์ปิดคือ ไบออส (BIOS) ที่ทำหน้าที่เตรียมความพร้อมเบื้องต้นฮาร์ดแวร์แล้วเรียกซอฟต์แวร์ระบบอื่น (โดยทั่วไปคือ bootloader) ขึ้นมารับหน้าที่ต่อไป ที่ผ่านมาโลกโอเพนซอร์สพยายามทดแทนไบออสเหล่านี้ด้วยซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส โดยโครงการที่ได้รับความสนใจกันมากคือ coreboot ที่รองรับเมนบอร์ดแล้วถึง 230 ตัว และล่าสุดทางเอเอ็มดีก็ได้ส่งแพตซ์ชุดใหญ่เพื่อให้ coreboot รองรับ AMD Embedded G-Series
วันนี้ (ตามเวลาสหรัฐฯ) ไมโครซอฟท์ได้เปิดตัว Windows สำหรับยานยนต์ "Windows Embedded Automotive 7" เวอร์ชันล่าสุดนี้มาพร้อมกับเทคโนโลยีการรู้จำเสียงพูด TellMe และเทคโนโลยี Silverlight ไมโครซอฟท์ยังกล่าวด้วยว่า Windows Embedded Automotive 7 และ Windows Embedded Compact 7 นั้นใช้หลายคอมโพเนนท์ร่วมกัน อาทิ เฟรมเวิร์ก Silverlight สำหรับ Windows Embedded UI
ถึงแม้ไมโครซอฟท์จะบอกว่าผู้ผลิตรถยนต์สามารถนำแพลตฟอร์มใหม่ไปใช้ได้ทันที แต่ในความเป็นจริงมันก็จะต้องได้รับการปรับแต่งลงรถยนต์รุ่นใหม่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 18 ถึง 24 เดือน
ไมโครซอฟท์ออกแพลตฟอร์มมือถือใหม่ (อีกแล้ว) คราวนี้มันเป็นระบบปฏิบัติการสำหรับมือถือฝั่งธุรกิจ ใช้ชื่อว่า Windows Embedded Handheld
ระบบปฏิบัติการตัวนี้ถือเป็นพี่น้องของ Windows Embedded Compact ที่จับตลาดแท็บเล็ตองค์กร แต่กรณีของ Windows Embedded Handheld จับตลาดมือถือองค์กรแทน ทั้งสองตัวอยู่ในกลุ่มที่ไมโครซอฟท์เรียกว่า enterprise handheld devices ซึ่งเป็นคนละตลาดกับ Windows Phone ที่จับกลุ่มคอนซูเมอร์
Windows Embedded Compact รุ่นแรกจะพัฒนามาจาก Windows Mobile 6.5 โดยเครื่องจะวางขายภายในปีนี้ (เครื่องแรกคือ Motorola ES400) ส่วนรุ่นถัดไปจะพัฒนาต่อจาก Windows Phone 7 ออกปี 2011
ในงาน Computex ไมโครซอฟท์ได้โชว์ต้นแบบแท็บเล็ตที่ติดตั้ง Windows Embedded Compact 7 รุ่น CTP (Community Technology Preview) ซึ่งเป็นวินโดวส์รุ่นถัดจาก Windows Embedded CE ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อทำงานบนอุปกรณ์ต่างๆ โดยเฉพาะ อาทิ แท็บเล็ต เครื่องเล่นเพลงพกพา เป็นต้น
วินโดวส์ดังกล่าวจะสนับสนุนมัลติทัชและ gesture control เช่นเดียวกับ Windows Phone 7 นอกจากนั้น Internet Explorer จะได้รับการปรับปรุงขนานใหญ่ และสนับสนุน Flash 10.1, Silverlight for Windows Embedded อีกด้วย
หลายคนคงรู้จัก Windows CE กันดีอยู่แล้ว แต่ช่วงหลังไมโครซอฟท์ปรับสายผลิตภัณฑ์ใหม่ และเรียกระบบปฏิบัติการแบบฝังตัวรวมๆ ว่า "Windows Embedded" ซึ่งมีรุ่นย่อยถึง 4 รุ่น Windows CE (หรือปัจจุบันชื่อ Windows Embedded Compact) ถือเป็นรุ่นเล็กสุดในนั้น รุ่นสูงขึ้นมาคือ Windows Embedded Standard ซึ่งเดิมใช้ Windows XP เป็นฐาน
พอข้ามยุคสมัยมาถึง Windows 7 ไมโครซอฟท์จึงนำ Windows 7 มาดัดแปลงให้เหมาะสำหรับระบบปฏิบัติการแบบฝังตัว และชื่อของมันคือ Windows Embedded Standard 2011 หรือรหัสเรียก "Quebec" ตอนนี้ออกรุ่น Community Technology Preview (CTP) ให้ทดสอบกันแล้ว
นักพัฒนาหลายๆ คนใน Blognone อาจจะใช้ OpenWRT เป็นแพลตฟอร์มในการพัฒนางานที่เคยอยู่ในระบบฝังตัวกัน แต่ปัญหาหลักที่เจอกันคือการแสดงผลนั้นทำได้ค่อนข้างลำบาก ส่วนจอภาพแบบ LCD นั้นพัฒนาซอฟต์แวร์ยาก แถมการแสดงผลจำกัด และราคาค่อนข้างสูง แต่เร็วๆ นี้เราอาจจะใช้งานจอภาพ VGA เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ทั่วไปกันได้ไม่ยากนัก
เทคโนโลยีสำคัญในเรื่องนี้คือ DisplayLink ที่เป็นชิปสำหรับแสดงผลออกจอ VGA ผ่านทางพอร์ต USB โดยทาง DisplayLink เพิ่งเปิดไดร์เวอร์ให้กับลินุกซ์ในชื่อโครงการ libdlo เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
หลังจากผละจากสถาปัตยกรรม ARM มาหลายปีแล้ว ชิป Atom ของอินเทลนั้นได้รับการพัฒนาอย่างเร็วมากในช่วงหลังๆ มานี้ โดยมีเป้าหมายที่ค่อนข้างชัดว่าอินเทลหวังว่าบุกตลาดโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ขนาดเล็กทั้งหลาย
แต่ปัญหาคือชิปในตระกูล Atom นั้นต้องการชิปเซ็ตภายนอก ขณะที่ชิปในอุปกรณ์ขนาดเล็กนั้นมักเป็น SoC (System on Chip) ที่รวมเอาวงจรที่จำเป็นต่อการทำงานไว้เกือบทั้งหมดแล้ว เพื่อแก้ปัญหานี้อินเทลจึงร่วมกับทาง TSMC (Taiwan Semiconductor) เพื่อพัฒนาชิปตัวใหม่แบบ SoC ที่ใช้คอร์ภายในเป็น Atom
ซีพียูที่ผลิตขึ้นใหม่นี้จะใช้แกนเป็นตัว Atom ของอินเทลเหมือนเช่นใน Netbook ที่เราใช้งานกันรวมเข้ากับวงจรรอบๆ ของทาง TSMC
บริษัท Lineo ประเทศญี่ปุ่น ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่ทำให้สามารถทำการให้สามารถใช้งาน Embedded Linux ได้ภายใน 2.97 วินาที โดยให้ชื่อเทคโนโลยีนี้ว่า Warp 2
Warp 2 ซึ่งมีหลักการทำงานคล้ายๆกับ "suspend-to-disk" แต่ทำงานได้เร็วกว่า ซึ่ง Warp 2 ประกอบด้วย bootloader, linux kernel และ "hibernation driver" หลักการทำงานคือเมื่อต้องการปิดเครื่อง ระบบจะทำการจดจำค่าใน RAM ณ เวลานั้น (snapshot) ให้อยู่ในรูปแบบไฟล์ RAM image แล้วทำการเก็บไฟล์ RAM images ไว้ในแฟลช โดยอาจจะเลือกให้มีการบีบอัดข้อมูลด้วย เมื่อเวลาทำการเปิดเครื่อง ก็นำข้อมูลในแฟลชคลายออกแล้วย้ายข้อมูลไปสู่ RAM แล้วก็สามารถใช้งานต่อจากครั้งที่แล้วได้
แม้ว่าซีพียู Atom จะได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในช่วงหลัง แต่ด้วยการเปิดตัวเมนบอร์ดเฉพาะ Mini-ITX ที่ขนาดค่อนข้างใหญ่สำหรับโลกคอมพิวเตอร์ฝังตัว (Embedded) และการกินไฟ 27 วัตต์อาจจะไม่น้อยพอ
ช่องว่างนี้เป็นตลาดให้ VIA ยังคงครองในส่วนของ Nano-ITX ได้ตลอดมา แต่ล่าสุดบริษัท PortWell ก็เปิดตัวบอร์ด NANO-8044 ที่มีขนาดเล็กและกินไฟน้อยกว่า
ตัวซีพียูนั้นเป็นตัวเดียวกับที่เราได้เห็นกันใน Netbook และเมนบอร์ด Mini-ITX ทั่วไป แต่ NANO-8044 นั้นใช้แพลตฟอร์ม Menlow (Atom + ชิปเซ็ต Poulsbo) ที่เน้นขนาดและการประหยัดไฟเป็นหลัก ส่วนชิปเซ็ตที่เราเห็นๆ กันทุกวันนี้มักเป็น Diamondville ที่มีขนาดใหญ่กว่า และออกแบบมาเพื่อลดต้นทุนในการผลิตเป็นหลักก่อนการประหยัดพลังงาน
ในสมัยหนึ่งที่สถาปัตยกรรม ARM นั้นดูร้อนแรงในวงการ Embedded มากๆ ตัวผมเองกลับพบว่ามันลำบากมากที่จะไปหาบอร์ด ARM มาใช้งานกันด้วยราคาที่แพงในหลักหมื่นบาทขึ้นไป แม้หลังๆ มานี้เราจะได้เห็นเราท์เตอร์บางรุ่นหันมาใช้ ARM ทำให้เราใช้งาน OpenWRT ได้แต่ก็ต้องลองเสี่ยงไปมาว่ารุ่นไหนใช้ได้ไม่ได้อย่างไรบ้าง
แต่ล่าสุดทาง Texas Instrument ก็แสดงท่าที่เอาใจนักพัฒนาเต็มที่ผ่านทางโครงการ BeagleBoard.org ที่ออกแบบบอร์ดพัฒนาชิป ARM รุ่น OMAP3530 ที่ให้ความเร็วค่อนข้างดี รองรับ OpenGL ES 2.0 และมีระบบประมวณสัญญาณเฉพาะทางมาในตัว ทำให้รองรับการแสดงวีดีโอระดับ HD ได้
ไมโครซอฟท์เซ็นสัญญากับค่ายผู้ผลิตรถยนต์เกาหลีฮุนไดและเกียในการติดตั้งซอฟท์แวร์ Microsoft Auto ซึ่งมีความสามารถสั่งการด้วยเสียง, ควบคุมเครื่องเล่นเพลงพกพาและโทรศัพท์มือถือ โดยจะเริ่มติดตั้งไปกับรถที่จำหน่ายไปทั่วโลกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนหลังจากที่ไมโครซอฟท์หมดสัญญากับฟอร์ดในการนำระบบดังกล่าวไปติดตั้งในชื่อของ Sync ให้กับฟอร์ดแต่เพียงผู้เดียว
ตลาดชิปประหยัดพลังงานกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากการใช้งานของอุปกรณ์เช่น เครื่องเล่น MP3 และโทรศัพท์มือถือ ล่าสุดทางบริษัท Texas Instrument ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัย MIT ผลิตชิปต้นแบบที่อาศัยสถาปัตยกรรมของ MSP430 ที่ใช้อยู่เป็นวงกว้าง มาผลิตชิปที่ทำงานที่ไฟเลี้ยงเพียง 0.3 โวลต์เท่านั้น
การลดระดับความต่างศักย์ของไฟเลี้ยงช่วยให้ชิปต้นแบบนี้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาก แต่กระบวนการผลิตชิปที่ทำงานที่ความต่างศักย์ต่ำขนาดนี้ก็ต้องการความแม่นยำที่สูงมาก จนอาจจะยังคงอีกนานกว่าเทคโนโลยีในการผลิตจะสูงพอที่เราจะได้เห็นชิปแบบนี้ในตลาด
ถ้าใครเคยเรียนวิชาระบบปฏิบัติการมาอาจจะเคยเห็นชื่อของ QNX กันอยู่บ้าง โดย QNX นี้คือระบบปฏิบัติการที่สร้างขึ้นเพื่อการทำงานในเวลาจริง เช่นการประมวลผลด้านเสียงที่ต้องการความเร็วสูงๆ และมีเงื่อนไขด้านเวลามากๆ
แม้จะเคยเรียนกันในตำรา แต่ QNX นี้หามาใช้งานยากมาก และใช้งานกับในวงจำกัดเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมบางส่วน ในตอนนี้ทาง QNX จึงได้ไอเดียใหม่ที่จะเปิดซอร์สทั้งหมดของ QNX Neutrino® ให้เข้าไปดาวน์โหลดมาเล่นกันได้ฟรีๆ แถมด้วยเปิด IDE เฉพาะอย่าง QNX Momentics® ให้มาใช้งานกันได้ด้วย
VIA ออกซีพียูในตระกูล Eden ซึ่งทำงานที่ 500MHz และกินไฟน้อยแค่ 1 วัตต์เท่านั้น แถมช่วงที่ไม่ได้ทำงาน อัตราการกินไฟจะลดลงเหลือแค่ 0.1 วัตต์
เดิมทีซีพียูสายตระกูล Eden ที่ประหยัดพลังงานที่สุด ทำงานที่ 400MHz และกินไฟ 2.5 วัตต์ ส่วนซีพียูแบบ ULV ของอินเทลเท่าที่ผมหาข้อมูลได้ Core Solo ULV กินไฟประมาณ 5.5 วัตต์ พอมาเจอเจ้า Eden ULV ตัวนี้ก็ถือว่ากินไฟเยอะไปเลย
เป้าหมายของ Eden ULV คือตลาดฝังตัวทั้งหลาย เช่น set-top box, thin client, kiosk เป็นต้น ดีไม่ดีเราอาจเห็น Eden ULV ตัวนี้ในโน้ตบุ๊คขนาดเล็กของผู้ผลิตฝั่งญี่ปุ่นอีกด้วย
ที่มา - Ars Technica
แนวคิดเรื่องคอมพิวเตอร์สวมใส่ได้เป็นแนวคิดที่มีกันมานานแล้ว แต่ที่ผ่านมามักเป็นการนำคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กไปฝังไว้ในส่วนต่างๆ ของเสื้อผ้ากันเสียมาก แต่ในอนาคตอันใกล้ เนื้อผ้าที่เราใส่อาจจะเป็นวงจรคอมพิวเตอร์จริงๆ เมื่อกลุ่มนักวิจัยชาวเบลเยียมได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถสร้างวงจรไฟฟ้าที่มีความต้านทานต่ำและยังสามารถยืดหยุ่นได้กว่าเท่าตัว