Google ลงทุน 200 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 6,000 ล้านบาท) กับฟาร์มผลิตไฟฟ้าพลังงานลมในรัฐ Texas และบริจาคเงินอีกส่วนหนึ่งให้แก่ Energy Foundation ซึ่งเป็นองค์กรด้านการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าของภาครัฐ
ฟาร์มผลิตไฟฟ้าพลังงานลมซึ่งใช้ชื่อโครงการ Spinning Spur Wind Project ตั้งอยู่ในเขต Oldham County มีกำลังผลิตพลังงานไฟฟ้า 161 MW เทียบเท่ากับการใช้ไฟของบ้านพักอาศัยราว 60,000 หลัง
การลงทุนในครั้งนี้นับเป็นโครงการธุรกิจพลังงานทดแทนรายที่ 10 ที่ Google เข้าร่วมลงทุนนับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา ซึ่งกำลังผลิตไฟฟ้ารวมของทุกโครงการเกินกว่า 2 GW ไปแล้ว
หลายคนคงไม่แปลกใจหากเห็นข่าว Apple ยื่นขอจดสิทธิบัตรเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือซอฟต์แวร์ใหม่ แต่ล่าสุดยักษ์ใหญ่ไอทีได้แสดงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลไปกว่านั้น เมื่อ Apple ได้เสนอเทคนิคการผลิตไฟฟ้าโดยอาศัยพลังงานลมที่ถูกเก็บไว้
การผลิตไฟฟ้าด้วยแรงลมโดยทั่วไป ใช้การหมุนของกังหันลมไปขับขดลวดของเครื่องผลิตไฟฟ้า ซึ่งมีข้อจำกัดไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ในช่วงที่ลมพัดไม่แรงพอ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่การเลือกใช้วิธีผลิตไฟฟ้าพลังงานลมถูกจำกัดเฉพาะพื้นที่ซึ่งมีลมพัดแรงอย่างต่อเนื่อง และจำเป็นต้องมีระบบการจ่ายไฟสำรองไว้คอยสับเปลี่ยน
วันนี้ทาง Facebook ได้ออกรายงานการใช้พลังงานประจำปี 2011 โดยเป็นรายงานรวมการใช้พลังงานและ carbon footprint ของศูนย์ข้อมูลของ Facebook รวมไปถึงสำนักงานต่างๆ ของ Facebook ทั่วโลก โดยข้อมูลที่น่าสนใจก็คือ ผู้ที่ใช้งาน Facebook ใน 1 ปีนั้นจะมี carbon footprint เท่ากับลาเต้หนึ่งแก้ว, กล้วยผลใหญ่ 3 ผลหรือไวน์ไม่กี่แก้วเท่านั้น ส่วนศูนย์ข้อมูลและสำนักงานของ Facebook ทั่วโลกนั้นใช้พลังงานไปทั้งหมด 532 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง ถึงแม้ว่า Facebook จะพยายามควบคุมการใช้พลังงานอยู่ในตอนนี้ แต่ก็ได้บอกไว้ชัดเจนว่าในปี 2014 ที่จะถึงนี้ Facebook จะมีการเปิดศูนย์ข้อมูลในสวีเดน ซึ่งจะส่งผลให้มีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
เว็บไซต์ Sortable ได้จัดทำ infographic เกี่ยวกับผลกระทบของ iPad ที่มีต่อสิ่งแวดล้อม โดยข้อมูลที่น่าสนใจหลักๆ ก็คือ iPad เครื่องหนึ่งนั้นจะปล่อยคาร์บอนเป็นปริมาณเทียบเท่าได้กับการขับรถเป็นระยะทาง 515 ไมล์ (หรือประมาณ 828 กิโลเมตร) โดย iPad รุ่นที่ 3 นั้นปล่อยคาร์บอนออกมามากที่สุด คิดเป็นปริมาณกว่า 180 กิโลกรัม ส่วน iPad รุ่นแรกและ iPad 2 ปล่อยคาร์บอนคิดเป็นปริมาณ 130 กิโลกรัมและ 105 กิโลกรัมตามลำดับ ซึ่งเมื่อคิดปริมาณคาร์บอนที่ถูกปล่อยโดย iPad ทั้ง 55 ล้านเครื่องที่ถูกขายออกไปแล้วนั้น ก็จะอยู่ที่ 7,590,000 ตัน ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณของคาร์บอนที่ถูกปล่อยโดยรถยนต์ 1,265,000 คันในหนึ่งปี
ทุกวันนี้คงไม่มีใครปฏิเสธแล้วว่า "ศูนย์ข้อมูล" (data center) ต้องใช้พลังงานเยอะมาก และบริษัทส่วนมากก็ไม่ค่อยเปิดเผยว่าศูนย์ข้อมูลของตัวเองใช้ไฟเท่าไร ซึ่งรวมถึงกูเกิลในฐานะเจ้าพ่อแห่งศูนย์ข้อมูลด้วย
แต่คราวนี้กูเกิลกลับลำ ออกมาเปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานของตัวเองแล้ว
ข้อมูลของกูเกิลน่าตกใจไม่น้อย เพราะในปี 2010 ศูนย์ข้อมูลทั้งหมดของกูเกิลใช้ไฟฟ้ารวมกัน 260 เมกะวัตต์ชั่วโมงตลอดปี ตัวเลขนี้มากแค่ไหน? เท่ากับ 1/4 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หนึ่งโรง
เพิ่งมีข่าวกูเกิลปิด Google Health และ Google PowerMeter ไปวันก่อน วันนี้ไมโครซอฟท์ประกาศปิดบริการ Hohm ซึ่งเป็นบริการเก็บสถิติการใช้พลังงานภายในบ้านแบบเดียวกับ Google PowerMeter
ไมโครซอฟท์เปิดตัว Hohm ครั้งแรกเมื่อปี 2009 โดยเป็นบริการตัวแรกๆ ของไมโครซอฟท์ที่รันอยู่บนแพลตฟอร์ม Azure ด้วย แต่ Hohm ก็ไปได้ไม่ดีอย่างที่หวัง และไม่เคยหลุดจากสถานะ Beta
ไมโครซอฟท์จะให้บริการ Hohm ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2012
เว็บไซต์ ZDNet รายงานว่าการปิด Hohm เป็นยุทธศาสตร์ใหม่ของไมโครซอฟท์ ที่จะปิดบริการเล็กๆ หลายตัวลง และทุ่มทรัพยากรไปที่บริการสำคัญๆ แทน
โซนี่เปิดตัวแบตเตอรี่รุ่นใหม่ในตระกูล Fortelion ใช้ olivine-type lithium iron phosphate ซึ่งมีโครงสร้างเหมาะสมกับทำแบตเตอรี่เป็นวัสดุสำหรับขั้วแคโธด ส่งผลให้มีเสถียรภาพมากขึ้น ประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิม
โซนี่เริ่มขายแบตเตอรี่รุ่นนี้แล้ว โดยช่วงแรกๆ จะใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ และเครื่องมือช่างที่ต้องใช้กำลังมากๆ ก่อน จากนั้นจะขยายไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่นๆ ในภายหลัง
ช่วงสองสามปีมานี้ประเด็นสำคัญมากของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศคือการใช้พลังงานที่นับวันจะเพิ่มขึ้นทุกวันและดูจะเป็นสัดส่วนที่มากขึ้นเรื่อยๆ เฉพาะศูนย์ข้อมูล (Data Center) ทั่วโลกนั้นมีการประเมินกันว่า ใช้พลังงานเท่ากับประเทศสวีเดนทั้งประเทศเลยทีเดียว ประเด็นพลังงานเช่นนี้ทางเอชพีก็ได้เปิดโครงการเพื่อช่วยรณรงค์ให้มีการลดการใช้พลังงานจากคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊คที่ใช้ในบ้านและที่ทำงานกันขึ้นมาในชื่อโครงการ Power To Change
ค่าใช้จ่ายของศูนย์ข้อมูล (Data Center) ในส่วนของพลังงานนั้นนับวันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้เราเคยมีข่าวเซิร์ฟเวอร์ของกูเกิลที่ใช้ไฟ 12 โวลต์เพียงอย่างเดียวเพื่อประสิทธิภาพในการส่งและสำรองพลังงาน ล่าสุดข้อมูลอีกอย่างที่มีการเปิดเผยคือศูนย์ข้อมูลของกูเกิลที่เบลเยียมนั้นไม่มีส่วนทำความเย็นเลย เพราะใช้อากาศที่เย็นอยู่แล้วจากภายนอกมาช่วยระบายความร้อน
แนวทางการลดการค่าใช้จ่ายด้วยการใช้อากาศภายนอกนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด แต่ปรกติแล้วศูนย์ข้อมูลมักมีระบบทำความเย็นเตรียมเอาไว้เผื่อช่วงเวลาที่อากาศร้อนขึ้นระบบทำความเย็นก็จะเปิดการทำงานขึ้นมา
รัฐวาติกันจะทำการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปแล้ว ด้วยงบประมาน 660 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โรงไฟฟ้าพลังงานของรัฐจะทำการผลิตไฟฟ้าได้ 110 เมกะวัตต์ เพียงพอที่จะสามารถเลี้ยงความต้องการพลังงานใช้ไฟฟ้าให้กับ 40,000 กว่าครอบครัว โดยโครงการนี้เริ่มต้นได้เนื่องจากเป็นความต้องการของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกท์ที่ 16
ที่มา - Slashdot
บริษัทมือถือยักษ์ของโลกหลายแห่ง ตกลงในแผนที่จะใช้ที่ชาร์จไฟที่เป็นสากล สามารถใช้ร่วมกันข้ามค่ายได้แล้ว กลุ่มสมาคม GSM (GSMA) กล่าว โดยบริษัทที่สนับสนุนแผนนี้ ประกอบด้วย โนเกีย โมโตโรล่า ซัมซุง โซนี่อีริกส์สัน แอลจี ทีโมไบล์ ออเรนจ์ 3 เอทีแอนด์ที และโวดาโฟน
กรรมการฝ่ายการตลาดของ GSMA ได้กล่าวว่า ข้อตกลงนี้ จะนำไปสู่การมีที่ชาร์จแบบเดียวที่ประหยัดพลังงานและใช้ได้กับโทรศัพท์มือถือทุกแบบ
คณะกรรมการยุโรปได้กดดันให้ผู้ผลิตมือถือผลิตที่ชาร์จที่ใช้มาตรฐานร่วมกัน โดยกรรมการคนหนึ่งได้พูดผ่านสถานีวิทยุของเยอรมนีก่อนหน้านี้ว่า ทั่วสหภาพยุโรปนั้นมีที่ชาร์จรูปแบบต่างๆ กันมากกว่าสามสิบแบบ
กูเกิลแถลงว่าขณะนี้กำลังเริ่มทดสอบซอฟต์แวร์ในชื่อ Google PowerMeter ซึ่งสามารถให้รายละเอียดปริมาณการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ตามบ้านได้โดยซอฟต์แวร์นี้จะรวมอยู่ในชุดของ iGoogle ซึ่งผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งข้อมูลที่จะนำเสนอออกมาเพื่อประเมินการใช้ไฟฟ้าส่วนตัวบนเว็บ เช่นเวลากี่โมงใช้ไฟเท่าไหร่ เครื่องใช้ไฟฟ้าไหนที่ทำให้อัตราการใช้ไฟพุ่งสูง
ถัดมาก็คงเป็นคำถามที่หลายคนคงสงสัยคือ แล้วกูเกิลจะไปรู้ข้อมูลละเอียดขนาดนี้ได้อย่างไร คำตอบก็คือกูเกิลจะทำการเก็บข้อมูลจาก smart meters ซึ่งเป็นตัววัดข้อมูลการใช้ไฟฟ้าที่ฝังอยู่ในเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป ซึ่งขณะนี้มีเครื่อใช้ไฟฟ้าที่ใช้ smart meters มากกว่า 40ล้านเครื่องแล้ว
Enterprise Rent-A-Car (ERAC) ลูกค้ารายใหญ่ของ Wyse คว้ารางวัลผู้นำไปปฏิบัติยอดเยี่ยมด้านกรีนไอที (“Best Practices in Green IT”) จัดโดย IDG Computerworld รางวัลนี้คัดสรรและชื่นชมผู้ริเริ่มและผู้นำที่ผลักดันให้แนวร่วมกรีนไอทีเคลื่อนไปข้างหน้า หัวข้อที่ใช้ในการพิจารณาได้แก่
• ผลตอบแทนจากการลงทุนใน Green Computing
• การนำมาปฏิบัติยอดเยี่ยมในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
• กรีนไอทีในดาต้าเซ็นเตอร์
• การลดความซับซ้อนเพื่อเพิ่มกรีนไอที
• ผู้นำไอทีที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้วยการผลักดันนโยบายกรีนไอทีให้เป็นความรับผิดชอบขององค์กร
MINI E จะถูกขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 150 กิโลวัตต์ พร้อมด้วยแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงชนิด Lithium-ion หนึ่งชุด เมื่อชาร์จเต็มจะวิ่งได้ไกลกว่า 240 กิโลเมตร โดยมีกำลังที่ 204 แรงม้า และมีอัตราเร่งตามที่โฆษณาไว้จาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงคือ 8.5 วินาที อย่างไรก็ตาม รถรุ่นนี้ถูกจำกัดความเร็วไว้ที่ 152 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ในขั้นแรกรถรุ่นนี้จะมีเพียง 2 ที่นั่ง โดยที่นั่งข้างหลังจะใช้เป็นที่สำหรับวางแบตเตอรี่ โดยแบตเตอรี่จะมีความจุไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 35 กิโลวัตต์ชั่วโมงและจะส่งพลังงานไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 380 โวลต์ ใช้เวลาชาร์จประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งเมื่อชาร์จที่สถานีชาร์จ
มลรัฐออริกอนประกาศสร้างระบบแสงสว่างสำหรับทางหลวงระหว่างเมือง (Interstate highway) ที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์แทนพลังงานไฟฟ้า
ออริกอนจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์พื้นที่ 8,000 ตารางฟุตจะผลิตพลังงาน 112,000 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งคิดเป็น 28% ของพลังงาน 400,000 กิโลวัตต์ที่ใช้ส่องสว่างให้กับทางหลวงหมายเลข 5 และ 205
โครงการนี้เป็นโครงการทดลองมูลค่า 1.3 ล้านดอลลาร์ โดยร่วมมือระหว่าง Portland General Electric, US Bank และสำนักงานขนส่งของมลรัฐออริกอน กำหนดเสร็จและใช้งานเดือนธันวาคมนี้
ที่มา - Sustainable Business
โฆษณารณรงค์ให้ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าหลังจากเลิกใช้งานอาจจะกำลังล้าหลัง เมื่อทางฟูจิสึได้เปิดตัวจอภาพตระกูล SCENICVIEW ECO ที่มีความสามารถพิเศษที่ไม่กินพลังงานแม้แต่วัตต์เดียวเมื่อจอไม่ได้ทำงาน
โดยปรกติแล้วจอภาพจะกินพลังงานประมาณ 1 ถึง 6 วัตต์เมื่ออยู่ในโหมดพร้อมใช้งาน (standy by) คิดเป็นค่าไฟฟ้าประมาณสองร้อยถึงห้าร้อยบาท แล้วแต่ค่าไฟในแต่ละประเทศ
มีรายงานจากสถาบันวิจัยและทดสอบวัสดุแห่งเยอรมันว่าหากเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดที่อยู่ในโหมดพร้อมใช้งานทั้งยุโรปไม่กินพลังงานเลย จะช่วยประหยัดพลังงานลงไปได้ถึง 35 เทราวัตต์ชั่วโมงต่อปี ทางด้านโครงการ Stand-by ของสหภาพยุโรปนั้นระบุว่าพลังงานที่เสียไปในโหมดพร้อมใช้งานนั้นคิดเป็นพลังงานร้อยละ 10 ของการใช้ไฟฟ้าในบ้านเลยทีเดียว
การค้นหาแหล่งพลังงานสะอาดยังคงเดินหน้าต่อไปทั่วโลก ล่าสุดประเทศเนเธอร์แลนด์ก็มีความคืบหน้าล่าสุดจากมหาวิทยาลัย Delft ในการใช้ว่าวมาเป็นอุปกรณ์เก็บพลังงานจากลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า
ทีมงานได้สาธิตว่าวขนาด 10 ตารางเมตรที่สามารถผลิตพลังงานได้ 10 กิโลวัตต์เป็นผลสำเร็จ และกำลังเตรียมการสาธิตขั้นต่อไปที่จะให้พลังงานได้ 50 กิโลวัตต์ โดยทีมงานระบุว่าเมื่อเทคโนโลยีนี้ได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบ เราอาจจะสามารถสร้างสนามที่ใช้ติดตั้งว่าวเหล่านี้จำนวนมากพอที่จะผลิตพลังงานได้ถึง 100 เมกกะวัตต์
ช่วงหลังๆ นี้ข่าวเกี่ยวกับซันโยในฐานะผู้ผลิตโซลาร์เซลล์มีเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ล่าสุดก็มีการเปิดโรงงานผลิตโซลาร์เซลล์ใหม่ที่ในชื่อ "Shiga Plant" ที่น่าจะเพิ่มกำลังผลิตของบริษัทจากปีที่ผ่านมา 260 เมกกะวัตต์เป็น 340 เมกกะวัตต์ในปีนี้ และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นจนไปถึง 4 กิกะวัตต์ในปี 2020
ทางซันโยเชื่อว่าตลาดโซลาร์เซลล์ทั่วโลกในปี 2020 น่าจะมีกำลังผลิตรวมอยู่ที่ 40 ถึง 45 กิกะวัตต์ และในตอนนั้นทางซันโยคาดว่าจะครองส่วนแบ่งตลาดได้ประมาณร้อยละ 10
โรงงานใหม่นี้จะแบ่งกำลังผลิตเพื่อผลิตโซลาร์เซลล์สองแบบคือแบบคริสตัล และแบบฟิล์มบางอย่างละครึ่ง
หลายๆ คนอาจจะเชื่อว่าทางออกเดียวสำหรับปัญหาพลังงานทุกวันนี้คือโซลาร์เซลล์ที่น่าจะให้พลังงานที่สะอาดที่สุดแล้ว แต่ปัญหาหลักของโซลาร์เซลล์นอกจากค่าผลิตที่แพงมาก (และใช้พลังงานมาก) แล้วยังมีประเด็นของประสิทธิภาพการแปลงพลังงานแสงเป็นพลังงานไฟฟ้าที่ประสิทธิภาพต่ำมากจนต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่
แต่ทางซันโยก็ได้ประกาศความสำเร็จในการพัฒนาโซลาร์เซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าร้อยละ 22 ได้เป็นครั้งแรกในโลก ด้วยประสิทธิภาพร้อยละ 22.3 โซลาร์เซลล์ของทางซันโยมีขนาด 100.5 ตารางเซนติเมตร ให้พลังงานรวม 2.242 วัตต์
เซลล์ต้นแบบนี้ยังคงอยู่ในระดับงานวิจัย แต่ทางซันโยคาดว่าบริษัทจะมีเซลล์ที่ประสิทธิภาพสูงกว่าร้อยละ 22 ขายในเชิงอุตสาหกรรมได้ภายในปี 2010
ไม่ได้มาฟันธงอะไรแต่อย่างใด แต่งานวิจัยล่าสุดจากการร่วมมือของมหาวิทยาลัย ETH Zurich กับมหาวิทยาลัย East China ได้แสดงการวิเคราะห์ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกกำลังเข้าใกล้จุดสูงสุดในเร็วๆ นี้
งานวิจัยในชื่อ "The 2006-2008 Oil Bubble and Beyond."(PDF) เป็นความพยายามที่จะศึกษาต้นเหตุของวิกฤติราคาน้ำมันที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ จากจุดเริ่มต้นของฟองสบู่ราคาน้ำมันนี้ที่เกิดจากการลดกำลังผลิตลงในช่วงปี 2006 ที่สวนทางกับความต้องการของตลาดโลกที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามในปี 2007 เป็นต้นมากำลังผลิตนั้นเริ่มตามความต้องการได้ทัน แต่ราคาก็ยังแปรผันอยู่มาก
รถยนต์แบบไฮบริดในวันนี้คงไม่มีใครเกินหน้า Toyota Prius ที่ยอดขายเกินล้านคันไปได้ และเนื่องจาก Prius รุ่นที่สองนั้นวางตลาดมาใกล้ครบห้าปีแล้ว (รุ่นแรกในปี 1997 รุ่นสองในปี 2003) เลยคาดกันว่ารุ่นที่สามนั้นน่าจะวางตลาดภายในปีหน้า และความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือการติดแผงโซลาร์เซลล์ไปบนตัวรถ
ข่าวนี้ยังไม่มียืนยันจากทางโตโยต้าแต่อย่างใด แต่ในตัวข่าวก็ระบุว่าตัวแผงโซลาเซลล์นั้นจะผลิตโดยบริษัทเคียวซีร่า และพลังงานที่ได้จะถูกนำมาใช้ในระบบปรับอากาศ
ไม่รู้ว่าบ้านเรานโยบายเรื่อง Eco-car ไปถึงไหนกันแล้ว
ที่มา - Reuters
เมอร์เซเดส-เบนซ์ประกาศไม่พึ่งพิงน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงภายในปี 2015 โดยให้เหตุผลสามข้อ คือ ต้นทุน, สิ่งแวดล้อม และลดความเสี่ยงจากภาวะน้ำมันหมดโลกในอนาคต
เมอร์เซเดส-เบนซ์ลงทุนไปแล้วกว่า 2 ล้านปอนด์ในแผนระยะยาวชื่อ Sustainable Mobility และเตรียมจ่ายอีก 7 พันล้านปอนด์ระหว่างช่วงนี้ถึงปี 2014 โดยจะวิจัยเพิ่มความสะอาดของเครื่องยนต์ การเพิ่มอัตราส่วนของเครื่องไฮบริด รวมถึงพลังงานอื่นๆ อย่างเช่นไฮโดรเจนด้วย
รถรุ่น A-Class และ B-Class ที่เตรียมขายเดือนตุลาคมนี้จะมีเทคโนโลยี Start/Stop ซึ่งเมื่อรถจอดติดไฟแดงจะหยุดเครื่องยนต์โดยอัตโนมัติ และติดเครื่องใหม่ให้อีกรอบ เมื่อคนขับปล่อยเท้าออกจากเบรกตอนไฟเขียว ส่วน Blue Efficiency A-Class 160 และ C-Class ที่ออกปลายปีจะประหยัดน้ำมันขึ้น 12%
หนึ่งในประเทศที่แสวงหาความมั่นคงทางพลังงานมากที่สุดในโลกคงไม่มีใครเกินหน้าญี่ปุ่นไปได้ เพราะด้วยจำนวนประชากรที่สูงและภาคเศรษฐกิจที่ต้องการพลังงานสูงมาก ล่าสุดเมืองซาไกก็ออกมาประกาศความร่วมมือกับทางบริษัทชาร์ป และบริษัท Kansai Electric Power ที่จะสร้างโรงงานไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ที่มีกำลังผลิตถึง 10 เมกกะวัตต์แล้ว (สูงสุด 18 เมกกะวัตต์และต่ำสุด 9 เมกกะวัตต์)
การก่อสร้างจะเริ่มขึ้นในปี 2009 และคาดว่าจะเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ในปี 2011 โดยที่ตั้งนั้นเป็นพื้นที่ถมทะเลบริเวณชายฝั่งเมืองซาไกนั่นเอง มูลค่าการก่อสร้างครั้งนี้ประมาณ 5 พันล้านเยน
ก่อนหน้านี้สองบริษัทเคยร่วมกันสร้างโรงงานไฟฟ้าในแบบเดียวกันนี้สำหรับโรงงานของชาร์ปแต่มีขนาดเล็กกว่าคือ 5 เมกกะวัตต์
เทคโนโลยีแสงอาทิตย์ในตอนนี้น่าจะเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจสูงสุด เพราะสะอาดและน่าจะวางใจได้ว่าไม่หมดในเร็วๆ นี้ แต่ปัญหาของเทคโนโลยีเหล่านี้คือต้นทุนค่าเทคโนโลยีและการผลิตที่แพงมาก ล่าสุดนักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลจาก MIT ก็สาธิตจานรวมแสงประสิทธิภาพสูงที่อาจจะเป็นเทคโนโลยีรวมแสงให้คุ้มค่าในแง่ของต้นทุนมากที่สุดในตอนนี้
ทีมงานอาศัยการรวมแสงจากจานสะท้อนเข้าหาหม้อต้มน้ำสีดำขนาดเล็ก รูปร่างของจานนั้นคล้ายกับจานดาวเทียม
เทคโนโลยีแบบเดียวกันนี้เคยมีมาก่อนหน้า และผู้ถือสิทธิบัตรในเทคโนโลยีนั้นคือ Doug Wood โดย Wood นั้นก็ได้เซ็นสัญญาอนุญาตให้ทีมงานใช้เทคโนโลยีของเขาไปแล้ว
อินเทลประกาศก่อตั้งบริษัทลูกในชื่อ SpectraWatt มีจุดประสงค์หลักในการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ป้อนโรงงานผลิตโมดูลโซลาร์เซลล์ โดยอินเทลลงทุนประเดิมก้อนแรกเป็นมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์พร้อมๆ กับกองทุนอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง
SpectraWatt จะเปิดโรงงานแรกในรัฐโอเรกอน การก่อตั้งบริษัทน่าจะเรียบร้อยในไตรมาสที่สามของปีนี้ และจะเริ่มส่งมอบสินค้ากันภายในกลางปีหน้า โดยบริษัทอ้างว่าบริษัทมีลูกค้ารอสินค้าอยู่แล้ว และเริ่มเตรียมวัตถุดิบไว้แล้ว