บริษัท comScore ได้สำรวจส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนสำหรับภาคธุรกิจ (นับเฉพาะคนที่บริษัทจ่ายค่ามือถือให้บางส่วนหรือทั้งหมด ส่วนเครื่องบริษัทไม่ได้แจกให้) พบว่าผู้นำยังเป็น BlackBerry ที่ส่วนแบ่ง 51.2%
ส่วน iPhone ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ขึ้นมาที่ 22.7% ตามด้วย Android 12.1% และ Windows Mobile/Phone 8.8%
comScore ยอมรับว่าการสำรวจอาจไม่ครอบคลุมผู้ใช้องค์กรทั้งหมด แต่ก็น่าจะแสดงให้เห็นภาพรวมของตลาดได้ไม่น้อย
ที่มา - LA Times
ตลาดซุปเปอร์คอมพิวเตอร์เชิงการค้าในตอนนี้ ผู้ครองตลาดใหญ่ยังอยู่กับไอบีเอ็มด้วยเครื่องตระกูล Blue Gene และ iDataPlex แต่เมื่อออราเคิลได้เทคโนโลยีครบชุดจากซันมาอยู่ในมือ ก็ได้เวลาลงสนามแข่งกันด้วย SPARC Supercluster
SPARC Supercluster จะประกอบไปด้วย เครื่องตระกูล T3 และ M5000 ส่วนการเก็บข้อมูลนั้นจะใช้เทคโนโลยี FlashFire กับระบบไฟล์แบบ ZFS ด้วยเซิร์ฟเวอร์ Sun ZFS Storage 7420
การประมูลงานอีเมลของ U.S. General Services Administration (GSA) ที่กำลังเตรียมย้ายระบบอีเมลจากเดิมที่ดูแลเองทั้งหมดไปใช้บริการจากภายนอก จบลงด้วยชัยชนะของ Google Apps ที่ประมูลผ่านบริษัท Unisys ด้วยมูลค่า 6.7 ล้านดอลลาร์เป็นระยะเวลาห้าปี จากการประมูลที่มีผู้เข้าร่วมทั้งไมโครซอฟท์และไอบีเอ็ม
GSA จะย้ายข้อมูลทั้งหมดไปยัง Google Apps ในปี 2011 โดย Unisys จะให้บริการย้ายข้อมูลจากศูนย์ข้อมูล 17 แห่งทั่วโลกของ GSA ไปยัง Google Apps ไม่มีข้อมูลว่าส่วนแบ่งระหว่างค่าบริการของกูเกิลกับ Unisys นั้นแบ่งกันอย่างไร แต่ค่าบริการปรกติของ Google Apps นั้นอยู่ที่ 50 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี ขณะที่เงิน 6.7 ล้านดอลลาร์นั้นคิดเป็น 78 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี
อาจเป็นสัญญาณที่ดีของแอปเปิลในการบุกโลก enterprise เมื่อสถาบันการเงินรายใหญ่ของโลก JPMorgan Chase ได้แจก iPad แก่พนักงานในฐานะอุปกรณ์พกพาที่ช่วยเสริมการทำงาน
ผู้บริหารของ JPMorgan Chase กล่าวว่าการใช้ iPad จะเกิดประโยชน์ต่อบริษัท พนักงานจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น และมีความสุขกับอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ที่บริษัทเตรียมไว้ให้
พนักงานที่จะได้ iPad จะต้องอยู่ในฝ่าย global investment banking division เท่านั้น และสามารถใช้เครื่องได้จนกว่าจะออกจากฝ่ายนี้หรือออกจากบริษัท
คนที่โดนผลกระทบทันทีคือ RIM ซึ่งเป็นเจ้าตลาดนี้มานาน ต้องรอดูว่าแท็บเล็ต PlayBook จะออกมาต่อกรกับ iPad ได้มากน้อยแค่ไหน
Greg Stein อดีตประธาน Apache Foundation คู่กรณีของออราเคิลในประเด็นข้อตกลงการใช้งานชุดทดสอบความเข้ากันได้ของจาวา ได้ออกมาเขียนบล็อกแสดงท่าทีต่อเรื่องนี้ว่าจาวาไม่จำเป็นต้องเป็นภาษาเปิดเพื่อจะประสบความสำเร็จ ไม่ว่าความขัดแย้งระหว่างออราเคิลและโครงการ Apache Harmony จะออกมารูปแบบใดก็ตาม
บล็อกของ Greg ยกตัวอย่างภาษา Visual Basic (VB) ที่วางตลาดมากว่าสิบปีภายใต้การควบคุมของไมโครซอฟท์อย่างเบ็ดเสร็จ ไม่มีโครงการโอเพนซอร์สที่มาแทนที่ได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามไมโครซอฟท์ยังสามารถสร้างชุมชนล้อมรอบภาษา VB ได้อย่างเข้มแข็ง และโครงการซอฟต์แวร์ที่พัฒนาด้วยภาษา VB จำนวนมากก็ยังคงได้รับการซัพพอร์ตเป็นอย่างดี
ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ระดับองค์กรรายใหญ่อย่าง CA ได้ยื่นฟ้องบริษัทซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า ISI Software ด้วยข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ของ CA-Datacom ซึ่งเป็นระบบฐานข้อมูลของ CA
ซอฟต์แวร์ต้นเรื่องนี้มีชื่อว่า 2BDB2 เป็นซอฟต์แวร์สำหรับย้ายข้อมูลออกจาก CA-Datacom และ IBM VSAM ไปยัง IBM DB2 โดยไม่ต้องเขียนแอพพลิเคชั่นด้านบนใหม่ โดยทาง CA ระบุว่า ISI Software ใช้งานทั้งซอร์สโค้ดและไฟล์ออปเจกต์บางส่วนจาก CA-Datacom อย่างผิดข้อตกลง ทำให้เกิดความเสียหายกับทาง CA พร้อมกับระบุว่าทาง ISI Software ไปบอกกับลูกค้าว่าระบบฐานข้อมูลของ CA นั้นกำลังจะตาย
ข่าวลือจาก Trip Chowdhry นักวิเคราะห์จากบริษัท Global Equities Research ระบุว่าเอชพีกำลังเปลี่ยนระบบ CRM ทั้งบริษัทที่มีผู้ใช้อยู่ 35,000-40,000 คนจาก Oracle Siebel ไปใช้งาน Salesforce แทน
คดีบริษัทลูกของ SAP ที่ชื่อว่า TomorrowNow ได้เข้าไปดาวน์โหลดซอฟต์แวร์จากออราเคิลอย่างผิดกฏหมายได้ฟ้องกันมาตั้งแต่ปี 2007 และในวันนี้คำพิพากษาก็ออกมาสั่งให้ SAP ต้องจ่ายค่าเสียหายให้ออราเคิล 1,300 ล้านดอลลาร์ ทำให้คดีนี้กลายเป็นคดีละเมิดลิขสิทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
คดีนี้ SAP ยอมรับความผิดมาก่อนหน้าแล้วและจนตอนนี้ SAP ต้องเป็นผู้จ่ายค่าดำเนินคดีให้กับทางออราเคิลกว่า 100 ล้านดอลลาร์ แต่ SAP ระบุว่าค่าเสียหายไม่ควรเกินกว่า 40 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ทางออราเคิลนั้นเรียกค่าเสียหาย 1,700 ล้านดอลลาร์
ทาง SAP ระบุว่าบริษัทผิดหวังกับคำพิพากษาและจะพยายามหาทางออกอื่นๆ รวมถึงการอุทธรณ์
บริษัท Computer Economics ได้รายงานผลสำรวจบริษัทที่เป็นลูกค้าของออราเคิลจำนวน 109 บริษัทถึงความพอใจในการซื้อซัพพอร์ตจากทางออราเคิล พบว่าลูกค้าถึงร้อยละ 58 ไม่พอใจกับค่าใช้จ่ายสำหรับการซัพพอร์ตจากออราเคิล
ตัวเลขในแง่มุมอื่นๆ คือร้อยละ 42 ไม่พอใจกับคุณภาพการซัพพอร์ต ส่วนร้อยละ 37 คาดว่าจะต้องจ่ายค่าซัพพอร์ตให้กับออราเคิลในสัดส่วนต่องบประมาณไอทีโดยรวมสูงขึ้น
ผลิตภัณฑ์สายเซิร์ฟเวอร์องค์กรของไมโครซอฟท์นั้นมี Office Communication Server สำหรับการติดต่อสื่อสารภายในองค์กรอยู่ด้วย ตอนนี้เวอร์ชันล่าสุดคือ 2007 R2 ออกเมื่อปี 2009 (ชื่อก่อนหน้านี้คือ Live Communications Server)
ล่าสุดไมโครซอฟท์ได้รีแบรนด์ Office Communication Server ใหม่อีกรอบ โดยใช้ชื่อว่า "Lync" (อ่านว่า "ลิงค์") และออกรุ่นแรกใต้ชื่อใหม่ Lync Server 2010 แล้ว
Lync Server 2010 สามารถทำงานได้กับ client สองตัวคือ Microsoft Lync (เฉยๆ ไม่มีชื่อเซิร์ฟเวอร์ห้อยท้าย) กับ Windows Live Messenger แต่ตัวหลังจะทำงานได้ไม่เต็มรูปแบบนัก
Juniper นั้นแม้จะมีชื่ออยู่พอตัวในกลุ่มสินค้าเราท์เตอร์แกน (Core Router) แต่ด้วยขนาดบริษัทแล้ว ความครบของสินค้าก็ยังขาดเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างซิสโก้อยู่พอตัว ล่าสุด Juniper ก็เข้าซื้อ Trapeze Networks ผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายไร้สายระดับองค์กรมาเสริมให้ครบช่วงแล้ว
ก่อนหน้านี้ Juniper มีเพียง AX411 ที่เป็น Access Point เป็นสินค้าในกลุ่มเครือข่ายแลนไร้สายเพียงตัวเดียว แต่สินค้าจาก Trapeze Networks นั้นมีความสามารถในการจัดการช่องสัญญาณได้ดีขึ้น ตลอดจนเทคโนโลยี mesh
การซื้อขายครั้งนี้มีมูลค่า 152 ล้านดอลลาร์ ไม่แพงนักหาก Juniper สามารถทำตลาดได้ดี เพราะบริษัทวิจัยอย่าง Dell'Oro Group คาดว่าตลาดนี้มูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 3.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2014
ในห้องประชุมระยะไกลขนาดใหญ่ๆ ตอนนี้เราอาจจะได้เห็นระบบ TelePresence มากขึ้น อย่างไรก็ตามระบบใหญ่ๆ เช่นนั้นต้องการห้องเพื่อติดตั้ง และมีราคาสูงเกินกว่าจะติดตั้งจำนวนมากๆ ได้ เมื่อวานนี้ทางซิสโก้ก็เปิดตัวสินค้าในตระกูล TelePresence มาอีกสองรุ่นคือ TelePresence EX60 และ CTS-32 ที่ราคาต่ำกว่ารุ่น CTS-37 ลงมาอีก 30%
TelePresence EX60 นั้นออกแบบมาสำหรับวางไว้บนโต๊ะทำงาน โดยตัวมันเองทำหน้าที่เป็นจอภาพสำหรับคอมพิวเตอร์ของพนักงานได้ด้วย โดยเป็นจอภาพขนาด 21.5" ความละเอียด 1920x1080 แต่ในส่วนวีดีโอนั้นสามารถรองรับภาพได้ที่ความละเอียด 720P หรือ 1280x720 มันมาพร้อมกับหน้าจอควบคุมแยกขนาด 8" แบบจอสัมผัส
ไอบีเอ็มเข้าซื้อบริษัท Netezza ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ด้านคลังข้อมูล (data warehouse) และการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ (business analytics) หลังจากประกาศการเข้าซื้อครั้งนี้ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา วันนี้ก็การซื้อขายก็สิ้นสุดลง
Netezza เป็นบริษัทที่มีสินค้าทับซ้อนกับไอบีเอ็มค่อนข้างมาก โดยสินค้าหลักของบริษัทคือแอพพลิแลนซ์ (appliance) สำหรับการทำคลังข้อมูลที่มีราคาถูกกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ ขณะที่มันรองรับการขยายตัวของระบบได้ดี
ไอบีเอ็มระบุว่าบริษัทยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับเทคโนโลยีที่ได้รับมานี้ โดยอาจจะเป็นไปได้ทั้งการออกแอพพลิแลนซ์รุ่นใหม่ภายใต้แบรนด์ไอบีเอ็มเอง หรือนำซอฟต์แวร์ออกมารวมกับชุดซอฟต์แวร์อื่นๆ ของไอบีเอ็มเอง
ซิสโก้ออกประกาศคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาสที่สี่ระหว่างเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนมกราคมปีหน้าว่า อัตราการเติบโตของบริษัทน่าจะอยู่ที่ 3-5% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้กว่าครึ่ง
การคาดการณ์นี้ทำให้นักลงทุนกลัวว่าซิสโก้กำลังเติบโตช้ากว่าตลาดโดยรวม ส่งผลให้หุ้นซิสโก้ตกอย่างหนักรวม 16% ภายในวันเดียว นับเป็นการตกที่หนักที่สุดนับแต่ปี 1994 และยังส่งผลไปถึงหุ้นเทคโนโลยีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นไมโครซอฟท์, เอชพี, F5, หรือกระทั่ง Juniper คู่แข่งของซิสโก้เองที่ลงไปอยู่ในแดนลบกันโดยถ้วนหน้า
อย่างไรก็ตามซิสโก้ระบุว่าบริษัทน่าจะกลับมาเติบโตได้อย่างแข๋งแกร่งที่ 12-17% ต่อปีได้ในระยะยาว
ที่มา - Reuters
เป็นมุมมองจากงาน OpenStorage Summit เมื่อปลายเดือนที่แล้ว สรุปเลยก็คือด้วยเทคโนโลยีด้านการเก็บข้อมูลที่พัฒนาขึ้นมาก ทำให้ RAID อาจหมดความสำคัญลง
RAID นั้นเกิดขึ้นมาในสมัยฮาร์ดดิสก์ยังมีขนาด 1GB โดยมันถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ (reliability) ของการเก็บข้อมูล และเพิ่มประสิทธิภาพ-ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล แต่ปัจจุบัน ฮาร์ดดิสก์มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นพันเท่า และมีเทคโนโลยีความเร็วสูงอย่าง flash storage, DRAM, PCIe ทำให้ RAID อาจไม่จำเป็น รวมถึงการที่ดิสก์มีขนาดใหญ่มากทำให้การ rebuild ข้อมูลใน RAID ช้าลงมากด้วย
ที่มา - ZDNet
สำนักข่าว Bloomberg อ้างถึงแหล่งข่าวไม่ระบุชื่อสามคนว่าธนาคารใหญ่อย่าง Bank of America และ Citigroup กำลังทดสอบการใช้ iPhone และ Android เพื่อมาแทนที่ BlackBerry ด้วยจำนวนผู้เข้าร่วมการทดสอบประมาณ 1,000 คน
หากการทดสอบนี้เป็นความจริง นี่อาจจะเป็นการทดสอบขนาดใหญ่ที่สุดในบริษัทระดับ Fortune 500 โดย Bank of America นั้นมีพนักงานอยู่ 284,000 คน ส่วน Citigroup นั้นมีพนักงาน 258,000 คน
Cisco เตรียมเปิดตัวซอฟต์แวร์ SocialMiner สำหรับวิเคราะห์ข้อความต่างๆ ใน social network ที่อาจจะกระทบต่อแบรนด์ของเรา SocialMiner จะสามารถเข้าไปกวาดข้อมูลเหล่านี้แล้วแจ้งเตือนให้พนักงานสามารถเข้าไปตอบสนองต่อปัญหาได้ทัน ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามเกินควบคุม
SocialMiner เป็นโมดูลหนึ่งของ Cisco Contact Center โดยตัวเซิร์ฟเวอร์นั้นมีราคา 1,000 ดอลลาร์ และ 1,500 ดอลลาร์สำหรับพนักงานแต่ละคน
บริษัทในไทยเองก็น่าจะเจอปัญหาลูกค้าไม่สามารถติดต่อช่องทางที่เตรียมไว้ให้ แล้วไปโวยวายกันในอินเทอร์เน็ตเยอะ แต่เนื่องจากสินค้ายังไม่เปิดตัวก็ไม่แน่ว่ามันจะวิเคราะห์ภาษาไทยได้ดีแค่ไหน
ออราเคิลยังเดินหน้าซื้อบริษัทต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ล่าสุดเข้าซื้อบริษัท ATG (Art Technology Group) ซึ่งเป็นยักษ์ด้านซอฟต์แวร์อีคอมเมิร์ซ และมีลูกค้าองค์กรชั้นนำมากมาย
การซื้อกิจการครั้งนี้มีมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ แน่นอนว่า ATG จะเข้ามาเสริมทัพด้านซอฟต์แวร์องค์กรอื่นๆ ที่ออราเคิลมีอยู่แล้ว เช่น ERP, CRM หรือ supply chain
ที่มา - TechCrunch IT
ความสามารถในการบริหารจัดการ (administration) มือถือจากส่วนกลาง เป็นคุณสมบัติสำคัญสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ และเป็นเหตุผลว่าทำไม BlackBerry ถึงได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดนี้
กูเกิลทำตลาด Android กับผู้ใช้ทั่วไปมาได้สักระยะ ก็เริ่มหันมารุกตลาดองค์กรแล้วเช่นกัน โดยประกาศว่าองค์กรสามารถใช้ Google Apps บริหารจัดการมือถือของพนักงานได้แล้ว เช่น remote wipe/lock, ตั้งรหัสผ่าน, ตั้งความยาวของรหัสผ่าน ฯลฯ
ฝั่งมือถือจะต้องติดตั้งโปรแกรม Google Apps Device Policy ซึ่งจะเปิดให้โหลดใน Market เร็วๆ นี้ (ใช้กับ Android 2.2 ขึ้นไป) ส่วนฝั่งผู้ดูแลไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเพราะกูเกิลจะเพิ่มเข้ามาใน Google Apps ให้เลย
ข่าวเครื่อง x86 บุกยูนิกซ์และเครื่องเมนเฟรมนั้นมีอยู่เรื่อยๆ ไม่ขาดสาย แต่ทาง eWEEK ก็ไปสัมภาษณ์ Tom Rosamilia ผู้จัดการฝ่าย Power (ซีพียู) และ System z (เซิร์ฟเวอร์) ถึงสถานะการณ์ปัจจุบันจากมุมมองของไอบีเอ็ม
Rosamilia ระบุว่า System z นั้นยังคงแข็งแกร่งและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยปีที่ผ่านมารายได้จาก System z ของไอบีเอ็มเติบโตขึ้นร้อยละ 15 ขณะที่พลังประมวลผลที่ส่งมอบให้ลูกค้าทั้งปีเติบโตขึ้นร้อยละ 54 โดยการเติบโตนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะประเทศที่เจริญแล้ว แต่ตลาดใหม่ๆ อย่างเกาหลี, นามิเบีย, และรัสเซีย ก็มีการติดตั้ง System z กันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
คนอย่างเราๆ อาจจะใช้งาน Google Analytics กันเป็นเรื่องปรกติจนชิน แต่กับองค์กรธุรกิจที่ต้องการวัดผลในรูปแบบเฉพาะและวิเคราะห์ทำรายงานในเชิงลึกแล้วก็เป็นจำต้องซื้อเครื่องมือมาใช้ในการวัดผล หนึ่งในนั้นคือ Cognos 10 ที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ
Cognos 10 จะมีความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลทั้งทวิตเตอร์, เฟชบุ๊ก, และบล็อกต่างๆ เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลตามเวลาจริงได้
ไอบีเอ็มลงทุนกับเทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา เฉพาะการเข้าซื้อบริษัทต่างๆ ก็นับรวมได้ 24 บริษัท มูลค่า 14,000 ล้านดอลลาร์ โดยสินค้ากลุ่มนี้สร้างรายได้ให้ไอบีเอ็ม 9,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2009 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปถึง 16,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2015
พร้อมๆ กับการเปิดตัว Adobe AIR 2.5 ทาง Adobe ก็เปิดตัว LifeCycle ES 2.5 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับลูกค้าระดับองค์กรมาพร้อมๆ กัน โดยตัว LifeCycle จะช่วยในการจัดการเอกสารและการกระบวนการทางธุรกิจ (business process) ให้ โดยสามารถแสดงผลในสี่รูปแบบที่ทาง Adobe รองรับคือ PDF, HTML, Flash, และ AIR ทำให้สามารถเข้าถึงผู้ใช้ได้แทบทุกรูปแบบ
ในรุ่น 2.5 นี้ LifeCycle จะเพิ่ม Solution Accelerators เพื่อลดเวลาการพัฒนากระบวนการทางธุรกิจเข้ามา โดยมีสามโมดูลให้ใช้งานคือ
สินค้าด้านความปลอดภัยสำหรับองค์กรไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก แต่ไอบีเอ็มกำลังวางตลาดซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัยชุดใหม่โดยให้ลูกค้าเลือกซื้อเป็นบริการแทนที่จะเป็นการขายเครื่องมือไปเปล่า โดยบริการทั้งสามแบบคือ
OpenStack ชุดซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สำหรับสร้าง cloud computing (ข่าวเก่า) ได้ไมโครซอฟท์มาเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่อีกราย
ไมโครซอฟท์ประกาศความร่วมมือกับ Cloud.com ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนรายหนึ่งของ OpenStack เพื่อให้ Hyper-V ซอฟต์แวร์ทำ virtualization ที่อยู่ใน Windows Server 2008 ทำงานร่วมกับ OpenStack ได้ ซึ่งจะส่งผลให้ OpenStack สามารถทำงานกับวินโดวส์ได้ดีขึ้น
งานนี้ไมโครซอฟท์จะให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค ส่วน Cloud.com รับหน้าที่พัฒนา โค้ดที่ได้จะส่งเข้ารวมกับ OpenStack
นักวิเคราะห์จาก UBS แสดงความเห็นว่ามันเป็นเรื่องสมเหตุผลที่ซิสโก้จะเข้าซื้อ Research in Motion (RIM) ผู้ผลิตโทรศัพท์ BlackBerry เพราะความพยายามในการขยายตลาด Unified Communication (UC) ของซิสโก้มีอย่างต่อเนืองในช่วงหลัง แต่กลับขาดตัวโทรศัพท์ไป
RIM เป็นบริษัทที่ยังครองตลาดขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ และมีแนวโน้มจะเติบโตต่อไปได้ในตลาดโลก มูลค่ารวมของบริษัทตอนนี้อยู่ที่ 26,310 ล้านดอลลาร์โดยประมาณ แต่ซิสโก้เองก็ถือเงินสดในมือไว้ถึง 33,000 ล้านดอลลาร์ มากพอที่จะเอาเงินสดทุ่มลงในตลาดเพื่อซื้อทั้งบริษัท และในความเป็นจริงก็สามารถซื้อผ่านการแลกหุ้น และใช้เงินสดบางส่วน