สิงคโปร์ประกาศแนวทางการควบคุมรถส่วนตัวที่ให้บริการโดยสาร (private hire car) มาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ตอนนี้เข้าสู่สัปดาห์สุดท้ายก่อนกฎข้อแรกคือการลงทะเบียนและติดสติกเกอร์จะมีผลบังคับในวันที่ 1 กรกฎาคม ทางขนส่งทางบกสิงคโปร์ก็ออกมาแถลงตัวเลขว่ามีใบสมัครเข้ามาแล้วถึง 39,000 คน และได้รับอนุมัติไปแล้วถึง 33,000 คน
นอกจากตัวคนขับต้องตรวจสุขภาพและลงทะเบียนแสดงความจำนงที่จะสอบใบขับขี่รถส่วนตัวให้บริการโดยสารแล้ว ตัวรถเองก็ต้องติดสติกเกอร์แสดงตนว่าเป็นรถที่ให้บริการโดยสาร โดยตอนนี้มีรถติดสติกเกอร์ไปแล้ว 27,000 คัน
ขึ้นชื่อว่าเป็นซีอีโอผู้บุกเบิกอูเบอร์ ก็น่าจะสร้างบารมีและความเชื่อถือจากพนักงานอูเบอร์ได้พอสมควร จากเหตุการณ์ Travis Kalanick ซีอีโออูเบอร์ลาออก มีพนักงานไม่ต่ำกว่า 1,000 คน เรียกร้องไปยังบอร์ดบริหาร ให้เขากลับมา
พนักงานอูเบอร์กว่าพันคนร่วมลงนามในจดหมายเรียกร้องไปยังบอร์ดบริหารอูเบอร์ ให้ Travis Kalanick กลับมาทำงานต่อ โดยจดหมายเป็น Google Docs พนักงานคนอื่นสามารถลงชื่อเพิ่มเติมได้ และจนถึงตอนนี้มีพนักงานลงชื่อคิดเป็น 10% ของพนักงานอูเบอร์ทั้งหมดแล้ว (ไม่รวมคนขับ)
ท่ามกลางกระบวนการฟื้นฟูองค์กร ของ Uber บริษัทได้ออกมาตรการใหม่เพื่อเอาใจคนขับรถ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกระบวนการฟื้นฟู 180 วัน ด้วยการเพิ่มตัวเลือกให้ทิปกับคนขับโดยตรงภายในแอป
นอกจากทิป คนขับยังมีโอกาสได้เงินเพิ่มจากมาตรการใหม่ ที่หากลูกค้าปล่อยให้คนขับรอนานเกิน 2 นาที พร้อมทั้งลดระยะเวลาที่ลูกค้าจะสามารถกดยกเลิกรถโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม (5 เหรียญ) จากเดิม 5 นาทีเหลือ 2 นาที
ในส่วนของทิปนั้น Uber จะมอบใหคนขับทั้งหมด ไม่มีการหัก แต่ค่าปรับจากการปล่อยให้คนขับรอนานเกิน รวมถึงค่าธรรมเนียมยกเลิกรถนั้น Uber จะหักเงินส่วนหนึ่งเช่นเดิม
The New York Times รายงานเบื้องหลังการบีบ Travis Kalanick ออกจากตำแหน่งซีอีโอของ Uber ว่าซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างมาก
เดิมทีนั้น Kalanick สร้างพันธมิตรในบริษัทไว้มากมาย ทั้งระดับบริหารและระดับบอร์ด โดยพันธมิตรคนสำคัญของเขาคือ Bill Gurley นักลงทุนจากบริษัท Benchmark Capital ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายหนึ่งของ Uber
จากการลาออกของ Travis Kalanick ซีอีโอ Uber สื่อก็เริ่มคาดกันต่อว่าบอร์ดบริหารจะเลือกใครมาทำหน้าที่นี้ต่อจากเขา ซึ่งเป็นภารกิจที่ไม่ง่ายนัก Uber เป็นสตาร์ทอัพที่มีมูลค่ากิจการสูงถึง 69,000 ล้านดอลลาร์ มีธุรกิจดำเนินงานอยู่ทั่วโลก และช่วงที่ผ่านมามีปัญหาเกิดขึ้นหลายอย่างที่ต้องแก้ไข
ก่อนหน้านี้ Kalanick ได้ประกาศหาซีโอโอมาร่วมงาน ซึ่งบอร์ดก็ได้รายชื่อมาหลายคน เมื่อเขาประกาศลาออกจากตำแหน่งซีอีโอ ก็เป็นไปได้ว่าตัวเลือกที่เดิมจะมาเป็นซีโอโอ น่าจะได้รับข้อเสนอมาเป็นซีอีโอเลย ซึ่งรายชื่อเด่นที่แหล่งข่าวเปิดเผยข้อมูลมามีดังนี้
หลังจากปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้า Uber ก็ได้ประกาศโครงการ 180 Days of Change เพื่อผลักดันให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะกับคนขับรถ Uber ซึ่งผู้บริหารใช้คำว่า เป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญกับบริษัท แต่ที่ผ่านมายังดูแลได้ไม่ดีพอ (ประกาศนี้ออกมาก่อนที่ซีอีโอ Travis Kalanick จะลาออก)
เพียงไม่กี่วันหลังจาก Travis Kalanick ซีอีโอของ Uber ประกาศพักงานชั่วคราว ล่าสุดเขาประกาศลาออกจากตำแหน่งอย่างถาวรแล้ว
การลาออกของ Kalanick เกิดจากการเรียกร้องของผู้ถือหุ้น 5 รายใหญ่ที่ต้องการให้เขาลาออกทันที ซึ่ง Kalanick ขอเวลาปรึกษากับบอร์ดและนักลงทุนบางรายสักพัก ก่อนตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งซีอีโอวันนี้ แต่เขาจะยังมีตำแหน่งเป็นบอร์ดของบริษัทต่อไป
Kalanick ออกแถลงการณ์ว่าเขารัก Uber มากกว่าทุกสิ่งในโลก นี่เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่เขาก็รับข้อเสนอของนักลงทุนเพื่อให้ Uber เดินหน้าต่อไปได้
Garrett Camp ผู้ร่วมก่อตั้ง Uber โดยเขาเป็นผู้ที่ไม่ได้มีบทบาทมากนักในการดำเนินงานของบริษัท (เพราะบทบาทดำเนินงานมักจะเป็นของซีอีโอผู้ถูกพักงาน Travis Kalanick ซะส่วนใหญ่) ได้ออกมาให้ความเห็นผ่านทาง Medium ของเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ของ Uber ในปัจจุบัน ในชื่อหัวข้อ “Uber’s path forward”
Camp กล่าวว่า Uber เป็นบริษัทที่เติบโตเร็วมาก จึงทำให้การเติบโตสำคัญมาก ในรอบปีที่ผ่านมา Uber จะโฟกัสไปที่การเติบโต แต่ล้มเหลวในการสร้างระบบที่ทุกบริษัทต้องใช้เพื่อรองรับการเติบโต Uber จึงต้องปรับองค์กรใหม่ ฟังพนักงานและผู้ขับรถมากขึ้น ให้ความสำคัญกับผู้ขับรถมากขึ้น
Jane Doe (นามสมมติ) หญิงสาวที่ถูกข่มขืนโดยคนขับอูเบอร์ในอินเดียเมื่อปี 2014 ยื่นฟ้องหมิ่นประมาทต่อบริษัทอูเบอร์และอดีต ผู้บริหาร Emil Michael กับ Eric Alexander รวมทั้ง Travis Kalanick CEO ที่พักงานแบบไม่มีกำหนดด้วย เนื่องจากพยายามเข้าถึงข้อมูลการแพทย์ของเหยื่อ และตั้งข้อสงสัยว่าเหตุการณ์ข่มขืน มีบริษัทแท็กซี่ในอินเดียที่เป็นคู่แข่งกับอูเบอร์ในท้องถิ่นอยู่เบื้องหลัง
หลังจากซีอีโอ Travis Kalanick พักงานไม่มีกำหนด และผู้บริหารอันดับสองของบริษัท Emil Michael ลาออก อำนาจหน้าที่บริหารบริษัทจึงค่อยๆ ตกเป็นของคณะกรรมการ โดยเว็บไซต์ Yahoo! Finance สอบถามไปยังผู้ใกล้ชิดกับอูเบอร์ ได้รายชื่อมา
14 คน ดังนี้
David Bonderman หนึ่งในคณะบอร์ดของอูเบอร์ลาออกจากบอร์ด หลังแสดงความเห็นเรื่องบทบาทผู้หญิงในการทำหน้าที่เป็นบอร์ดของบริษัทในทางลบ
ช่วงระหว่างที่บอร์ดกำลังพิจารณาบทบาทผู้บริหารอูเบอร์ Arianna Huffington หนึ่งในคณะประชุมแสดงความเห็นว่าจะทำอย่างไรให้บอร์ดผู้บริหารมีผู้หญิงมากขึ้น ขณะที่ Bonderman ก็ออกความเห็นว่า "นี่แหละ ยิ่งทำให้เห็นว่า ผู้หญิงมักจะเป็นพวกช่างพูด"
ตามข่าวก่อนหน้านี้ว่า Uber มีการประชุมบอร์ดเพื่อหาข้อยุติปัญหาภายในหลายอย่าง โดยประเด็นสำคัญคือการพิจารณารายงานสรุป จากที่ปรึกษาผู้ตรวจสอบอิสระ เกี่ยวกับประเด็นปัญหาต่างๆ ภายในองค์กร รวมทั้งข้อเสนอแนะ รวม 47 ข้อเสนอ ซึ่งบอร์ดได้ลงมติที่จะปฏิบัติตามแต่ไม่ใช่ทุกข้อเสนอ
ยังไม่มีผลการประชุมบอร์ดอูเบอร์ ออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ Emil Michael รองประธานอาวุโสฝ่ายธุรกิจก็ลาออกจากอูเบอร์แล้ว หลังเป็นศูนย์กลางของข่าวฉาวอูเบอร์ทั้งปวง และติดโผรายชื่อที่บอร์ดอูเบอร์กำลังพิจารณาบทบาทด้วย โดยผู้ที่จะมาทำหน้าที่แทน Micheal คือ David Richter รองประธานฝ่ายกลยุทธ์ของอูเบอร์
Michael นอกจากเป็นคนสนิทของ Travis Kalanick แล้ว เขายังเป็นผู้บริหารอันดับสองของอูเบอร์ด้วย Michael ส่งอีเมลหาพนักงานทุกคนหลังจากบอร์ดอูเบอร์ประชุมพิจารณาบทบาทผู้บริหารร่วม 7 ชั่วโมง เนื้อหาอีเมลคร่าวๆ คือเขาลาออก คนที่จะมาแทนคือ David Richter เขามั่นใจมากว่า Richter จะนำบริษัทต่อไปได้อย่างดีเยี่ยม เขาภูมิใจที่ได้ร่วมระดมทุนซึ่งอูเบอร์ทำได้มากที่สุดอย่างที่บริษัทอื่นทำไม่ได้
มีข่าววงในจากเว็บไซต์ Recode และ Reuters รายงานว่าบอร์ดอูเบอร์จะประชุมหารือวันนี้เรื่องบทบาทของผู้บริหารจำนวนมากในอูเบอร์ ซึ่งอาจรวม Travis Kalanick ซีอีโอด้วย
แหล่งข่าวจาก Reuters ยังบอกอีกว่า ผลการประชุมคืออาจพักงาน Kalanick ชั่วคราว โดยเขาจะกลับมาดำรงตำแหน่งอื่นที่ลดขั้นลงมา หรืออยู่ในตำแหน่งเดิมภายใต้การกำกับดูแลที่เข้มงวดมากขึ้น
สาเหตุหนีไม่พ้นข่าวฉาวที่ถาโถมเข้ามาหาอูเบอร์ไม่หยุด เรื่องที่หนักหนาที่สุดคือ อดีตพนักงานหญิงโวยปัญหาล่วงละเมิดทางเพศจากผู้บริหาร
เว็บไซต์ Recode เผยแพร่อีเมลเก่าตั้งแต่ปี 2013 จากซีอีโออูเบอร์ Travis Kalanick เมื่อปี 2013 ที่ส่งให้พนักงานก่อนพนักงานจะต้องไปร่วมงานฉลองของบริษัทที่ Florida’s Shore Club เป็นการฉลองการเปิดบริการใน 50 เมืองทั่วโลก
เนื้อหาในอีเมลมีกำหนดสิ่งที่ควรทำ และสิ่งที่ไม่ควรทำ โดยสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลายข้อ เช่น อย่าทำให้ตัวเองเข้าคุก เราไม่มีงบประกันตัว, อย่ามีเพศสัมพันธ์กับลูกจ้างคนอื่น เว้นแต่อีกฝ่ายจะตอบตกลง, อย่าพูดคุยกับสื่อ ให้ฝากคำถามไปที่ Andrew - anoyes@uber.com แทน และให้ระมัดระวังคำพูดเวลาคุยกับคนอื่นนอกองค์กร (ให้มองดูสายรัดข้อมือไว้)
Uber รายงานผลประกอบของไตรมาสแรกปี 2017 มีรายได้ 3,400 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 18% จากไตรมาสที่ 4 ของปี 2016 และยังคงขาดทุนสุทธิ 708 ล้านดอลลาร์ หรือราว 24,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดทุนที่น้อยกว่าไตรมาสก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 991 ล้านดอลลาร์
ตัวแทนของ Uber กล่าวว่าการขาดทุนที่ลดลงเรื่อยๆ ในทุกไตรมาส สะท้อนว่า Uber จะอยู่ในหนทางที่ดีและสามารถมีกำไรได้ในอนาคต
ถึงตรงนี้อาจสงสัยว่าแต่ละไตรมาสขาดทุนขนาดนี้ทำไม Uber ยังอยู่ได้ นั่นเป็นเพราะ Uber ได้เงินจากนักลงทุนรวมแล้วถึงกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์ (511,000 ล้านบาท) และตอนนี้บริษัทก็ยังมีเงินสดในมือถึง 7,200 ล้านดอลลาร์ (245,000 ล้านบาท)
ความขัดแย้งระหว่าง Uber กับ Waymo มีความคืบหน้าไปอีกขั้น เพราะ Uber ไล่ Anthony Levandowski พนักงานผู้เป็นต้นเหตุของความขัดแย้งครั้งนี้ออกแล้ว
Levandowski เป็นอดีตพนักงานของ Waymo ก่อนลาออกมาตั้งบริษัท Otto ทำรถบรรทุกไร้คนขับ แล้วขายกิจการให้ Uber อีกทีหนึ่ง โดยฝั่งของ Waymo ระบุว่าเขาแอบดาวน์โหลดไฟล์ข้อมูลทางเทคนิคไปใช้กับ Otto จนนำมาสู่คดีฟ้องร้องในที่สุด
Anita Borg Institute for Woman and Technology (ABI) องค์กรที่พยายามสร้างความเท่าเทียมในแง่ของโอกาสการทำงานของผู้หญิงในอุตสาหกรรมไอทีและเทคโนโลยี ประกาศตัดความสัมพันธ์กับ Uber หลังมีข่าวอื้อฉาวเรื่องการล่วงละเมิดและเหยียดเพศอย่างต่อเนื่อง
ผู้บริหารของ ABI ได้ส่งจดหมายไปยัง CTO และหัวหน้าฝ่าย HR ของ Uber ว่าจะระงับข้อตกลงการเป็นพาร์ทเนอร์และพร้อมรับพนักงานหญิงที่ทำงานกับ Uber มาเข้าร่วมองค์กรด้วย
การเป็นพาร์ทเนอร์กับ ABI จะเป็นการร่วมมือกับระหว่างองค์กรเพื่อผลักดันให้ผู้หญิงมีสัดส่วนในตำแหน่งงานขององค์กรเพิ่มมากยิ่งขึ้น
ยังคงมีข่าวลงทุนจากกองทุน Vision Fund ของ SoftBank ออกมาอยู่เรื่อยๆ หลังจากเมื่อวานมีข่าว SoftBank ลงทุนซื้อหุ้น Nvidia 4,000 ล้านดอลลาร์ ล่าสุดลงทุนในสตาร์ทอัพแชร์รถของบราซิล (99) เป็นจำนวนเงิน 100 ล้านดอลลาร์ โดยทางสตาร์ทอัพคาดหวังว่าการระดมทุนครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทแข่งกับอูเบอร์ได้
เป้าหมายของ SoftBank คือเป็นผู้ลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุด หนึ่งในขอบเขตการลงทุนคือบริษัทแชร์รถผ่านแอพ ไม่เพียง 99 เท่านั้นที่ SoftBank เข้าไปลงทุน บริการแชร์รถของจีนหรือ DiDi ก็ระดมทุนจาก SoftBank ได้ถึง 5,000 ล้านดอลลาร์ น่าแปลกที่บรรดาบริษัทแชร์รถที่ SoftBank เข้าไปลงทุนไม่มีชื่ออูเบอร์
เรื่องอื้อฉาวถาโถมกันเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อนสำหรับ Uber โดยกรณีล่าสุดคือการติดค้างค่าโดยสารให้กับคนขับรถในนครนิวยอร์กหลายปี คิดเป็นเงินไม่่ตำกว่า 45 ล้านดอลลาร์
เรื่องราวครั้งนี้เกิดขึ้นหลัง Uber กำลังจัดการรายละเอียดใบเสร็จให้กับคนขับ โดยปัญหาค่าโดยสารครั้งนี้เกิดจากการที่ Uber คิดค่าคอมมิชชันตอนที่ค่าโดยสารทั้งหมดยังไม่หักภาษี ทั้งที่ตามปกติแล้ว Uber จะหัก 25% หลังหักภาษีตามข้อตกลงในปี 2014
Uber ระบุว่าจะคืนเงินคนขับรถให้ทั้งหมดราว 5 หมื่นคนเฉลี่ยคนละ 900 ดอลลาร์ แม้ว่าคนขับคนนั้นจะเลิกขับไปแล้วก็ตาม
ทั้งนี้ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ความผิดพลาดแบบนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในฟิลาเดลเฟีย ทำให้ Uber ต้องจ่ายค่าโดยสารให้คนขับเพิ่มเติมราว 20 ล้านดอลลาร์
Uber เตรียมใช้วิธีเก็บเงินผู้ใช้แต่ละคนโดยนำเส้นทางโดยสารมาพิจารณาเพิ่มเติม ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้ขับรถในพื้นที่ลดเวลารอผู้โดยสาร
ปัจจุบัน Uber คิดค่าเดินทางตามระยะทาง, ระยะเวลาบนถนน และปัจจัยรอบข้าง แต่ด้วยระบบคิดค่าเดินทางแบบใหม่นี้ จะคิดค่าเดินทางกับผู้เดินทางแพงขึ้นในเส้นทางที่มีคนเดินทางเป็นจำนวนมาก โดยทาง Uber จะใช้ machine learning ในการคำนวณเมื่อผู้โดยสารพึงพอใจในการจ่ายเงินที่มากขึ้นในบางพื้นที่ ซึ่ง Uber เริ่มทดสอบระบบดังกล่าวกับ UberX ตั้งแต่ปีที่แล้วใน 14 เมืองที่มี UberPool ให้บริการด้วย
Uber ประกาศเปิดตัวบริการใหม่ Uber Freight บริการจับคู่ระหว่างคนขับรถบรรทุก และบริษัทที่ต้องการให้ไปส่งสินค้า (cargo) โดยมีแอพแยกเป็นของตัวเองทั้งบนแอนดรอยด์และ iOS
การทำงานของแอพไม่แตกต่างจากบริการเรียกรถ ลูกค้าจะต้องระบุจุดที่ให้ไปรับและส่งสินค้า ขณะที่คนขับรถบรรทุกจะได้รับแจ้งว่าสินค้าคืออะไร ไปเส้นทางไหนและจะได้ค่าจ้างเท่าไหร่ ซึ่ง Uber ระบุว่าบริการนี้จะช่วยลดความวุ่นวายและเวลาในการนัดพูดคุยและจองรถบรรทุกลงได้ค่อนข้างมาก
ทั้งนี้อย่าลืมว่า Otto บริษัทลูกของ Uber ที่พัฒนารถบรรทุกไร้คนขับเริ่มออกวิ่งขนส่งสินค้าจริงแล้ว ดังนั้นเป็นไปได้ว่าในอนาคต Uber จะนำเอารถบรรทุกของ Otto มาให้บริการนี้ด้วย
ประเด็นเรื่องการคุกคามและล่วงละเมิดทางเพศของ Uber ยังคงไม่จบลงง่ายๆ เมื่ออดีตพนักงานออกมาแฉความเละเทะภายในองค์กรเพิ่มเติมว่า ตนเองถูกไล่ออก เพียงเพราะยื่นเรื่องไปยังฝ่าย HR ว่าเพื่อนร่วมงานของตนถูกคุกคามทางเพศจากผู้บริหาร (supervisor)
อดีตพนักงานคนนี้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ California's Department of Fair Employment and Housing ที่ดูแลเรื่องสิทธิมนุษยชน ระบุว่าช่วงราวปลายปี 2015 เพื่อนร่วมงานหญิงของเขาได้เข้ามาขอความช่วยเหลือจากการถูกคุกคามทางเพศ ก่อนที่ตัวเขาจะยื่นเรื่องไปยัง HR และจะได้รับคำตอบแบบไม่แยแสว่า "เราไม่จำเป็นต้องทำตามข้อร้องเรียนจากพนักงานที่ส่งกันเข้ามาค่อนข้างมาก" ก่อนที่เจ้าตัวจะถูกไล่ออกเดือนมีนาคม 2016
Uber เริ่มแสดงข้อมูลการขนส่งสาธารณะที่จุดหมายปลายทางบนแอพ Android โดยใช้ข้อมูลจากแอพ Transit ซึ่งมีข้อมูลของขนส่งสาธารณะกว่า 50 รัฐในสหรัฐฯ
หากผู้ใช้เลือกลงที่ใด และ Uber พบว่าจุดที่ลงรถนั้นไม่ห่างจากจุดหยุดรถสาธารณะมากนัก จะแสดงเวลาออกของรถสาธารณะในฟีดของ Uber ข้อมูลดังกล่าวจะถูกรีเฟรชอยู่ตลอดเวลาจนกว่าผู้ใช้จะไปถึงจุดหมายปลายทาง และเมื่อแตะที่รายละเอียดจะนำเข้าสู่แอพ Transit เพื่อดูข้อมูลต่อไป
ฟีเจอร์ดังกล่าว Jake Sion ซีโอโอของแอพ Transit ที่ให้ข้อมูลกับ Uber เผยว่าทั้งสองบริษัทนึกถึงอนาคตที่การเดินทางนั้นจะถูกแชร์โดยใช้ทางเลือกการเดินทางสาธารณะหลายรูปแบบ
จากกรณี อดีตพนักงานหญิง Uber โวยปัญหาล่วงละเมิดทางเพศจากผู้บริหาร จนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ส่งผลให้ Uber ต้องตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้
ตอนนี้ผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการยังไม่ออก แต่ข้อมูลวงใน (ที่เว็บไซต์ Recode ได้รับมา) ระบุว่าอาจมีผู้บริหารระดับบิ๊กขั้น CTO และบอร์ดบริหารของบริษัทถึงกับโดนไล่ออกเลยทีเดียว
Recode ระบุชื่อ Ryan Graves บอร์ดของ Uber และ Thuan Pham ผู้บริหารตำแหน่ง CTO โดยทั้งสองคนไม่ได้มีความผิดล่วงละเมิดทางเพศโดยตรง แต่เป็นคนที่ได้รับรายงานจากอดีตพนักงานหญิง Susan Fowler แต่กลับไม่ยอมดำเนินการใดๆ