ซีพียูตระกูล Bulldozer นั้นเปิดตัวมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และจะลงตลาดในไตรมาสที่สองของปีนี้ แม้จะยังไม่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ภาพแผนการวางตลาดและกล่องบรรจุของซีพียูรุ่นต่อไปก็เริ่มมีหลุดออกมาแล้ว โดย Bulldozer ชุดแรกนั้นจะมาในแพลตฟอร์ม Zambezi และตัวซีพียูอยู่ในตระกูล FX แม้ภาพตัวกล่องยังไม่ระบุแต่เชื่อกันว่าจะเป็น FX81x0, FX6110, และ FX4110 ตามลำดับ
ชิปทั้งหมดจะต้องการซ๊อกเก็ต AM3+ โดยคาดว่าชิปตระกูล FX นี้จะไม่ล็อกความเร็วทำให้โอเวอร์คล็อกได้ตามความต้องการ และชิปตระกูล FX เหล่านี้จะถูกวางตัวให้เทียบชั้นกับซีพียู Core-i5 และ Core-i7 ของอินเทล
คู่กัดตลอดกาลอย่าง AMD ออกมาเบรก Thunderbolt ของอินเทลแล้ว โดยโฆษกของ AMD ระบุว่าปัจจุบันมีมาตรฐานการส่งข้อมูลหลายตัวที่ส่งข้อมูลได้เกิน 10 Gbps ของ Thunderbolt อยู่แล้ว การออก "มาตรฐานปิด" ออกมาอีกตัวก็มีโอกาสไม่มากนักที่คนจะใช้กันแพร่หลาย
AMD ยังไม่เห็นโอกาสในระยะสั้นว่า Thunderbolt จะเป็นที่ต้องการของตลาด เพราะไม่ได้มีประสิทธิภาพเหนือกว่าเทคโนโลยี I/O ในปัจจุบัน และด้อยกว่าในบางแง่ด้วยซ้ำ เมื่อบวกกับอุปกรณ์ยังน้อย, การเป็นมาตรฐานปิดของอินเทลคนเดียว, คอขวดที่ PCI Express 3.0 ทำให้ใช้อัตราการส่งข้อมูลได้ไม่เต็มที่ ก็ยิ่งทำให้ Thunderbolt มีโอกาสน้อยเข้าไปใหญ่
ไม่ว่าเราจะใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สกันมากแค่ไหน แต่ซอฟต์แวร์ตัวหนึ่งที่ทุกเครื่องมีและเป็นซอฟต์แวร์ปิดคือ ไบออส (BIOS) ที่ทำหน้าที่เตรียมความพร้อมเบื้องต้นฮาร์ดแวร์แล้วเรียกซอฟต์แวร์ระบบอื่น (โดยทั่วไปคือ bootloader) ขึ้นมารับหน้าที่ต่อไป ที่ผ่านมาโลกโอเพนซอร์สพยายามทดแทนไบออสเหล่านี้ด้วยซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส โดยโครงการที่ได้รับความสนใจกันมากคือ coreboot ที่รองรับเมนบอร์ดแล้วถึง 230 ตัว และล่าสุดทางเอเอ็มดีก็ได้ส่งแพตซ์ชุดใหญ่เพื่อให้ coreboot รองรับ AMD Embedded G-Series
ตอนนี้เราทราบกันดีแล้วว่า MacBook Pro รุ่นต่ำสุดใช้ GPU เป็น Intel HD 3000 GPU ที่มีแรมแบบ Shared Memory 384 MB ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่มีประสิทธิภาพในการประมวลผลกราฟฟิคต่ำกว่ารุ่นที่ผ่านมา
ล่าสุด CNet รายงานว่าแอปเปิลได้เลือกใช้ GPU ของ AMD ใน MacBook Pro รุ่น 15 และ 17 นิ้ว แทนที่ NVIDIA โดยการทำงานจะคล้าย ๆ กัน ซึ่งก็คือความสามารถในการสลับเปลี่ยนไปใช้ Discrete GPU แทน Onboard GPU เมื่อมีความต้องการในการประมวลผลที่สูงขึ้นโดยอัตโนมัติ และตัวเครื่องจะมาพร้อมกับ Thunderbolt (Light Peak) และซีพียู Sandy Bridge แน่นอน
อีกไม่กี่ชั่วโมงเราคงได้รู้กันครับ
Thomas Seifert ซีอีโอชั่วคราวของเอเอ็มดีให้สัมภาษณ์นักข่าวว่าเอเอ็มดียังไม่สนใจบุกตลาดสมาร์ตโฟนเนื่องจากมีผู้ผลิตอยู่จำนวนมากอยู่แล้ว และทำกำไรได้ยาก แต่สำหรับตลาดแท็บเล็ตนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยเขามั่นใจว่า APU ที่มีอยู่จะสามารถแทรกตัวเข้าไปในตลาดแท็บเล็ตได้ในเครื่องที่ต้องการพลังทางกราฟิกสูงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีหน้า APU รุ่นที่สองจะเริ่มวางตลาด ทำให้ชิปมีขนาดเล็กและกินพลังงานต่ำกว่าเดิมมาก
กลยุทธ์นี้คงแสดงความแตกต่างระหว่างอินเทลกับเอเอ็มดีอย่างชัดเจนเพราะอินเทลนั้นพยายามผลักดันให้ Atom ถูกใช้ในทุกอุปกรณ์รวมถึงโทรศัพท์มือถือตลอดมา แม้ความพยายามที่ผ่านมาจะยังไม่สำเร็จก็ตาม
หลังจากปล่อยให้อินเทลทำตลาด Intel WiDi ไปได้พักใหญ่ ตอนนี้ก็ถึงเวลาของเอเอ็มดีจะประกาศเทคโนโลยีแบบเดียวกันออกมาบ้าง โดยเป็นการร่วมกันกับทาง ViVu ในชื่อว่า AMD Wireless TV
เทคโนโลยีนี้ยังไม่พร้อมที่จะวางตลาดในตอนนี้ โดยเอเอ็มดีระบุว่ามันจะพร้อมจริงในไม่กี่เดือนข้างหน้า และในตอนนี้มันยังรองรับภาพขนาด 720P เท่านั้น ขณะที่ Intel WiDi 2.0 นั้นมีวางขายจริงแล้วและรองรับภาพขนาด 1080P
ข่าวร้ายสำหรับเรื่องนี้คือทั้งสองค่ายล้วนใช้เทคโนโลยีปิดของตัวเอง ทำให้ความหวังว่าจะมีมาตรฐานกลางที่รองรับการส่งภาพความละเอียดสูงผ่าน Wi-Fi โดยไม่ต้องสนใจยี่ห้ออุปกรณ์ที่จะใช้งานด้วยนั้นดูริบหรี่ลงทุกที
ตามเทศกาลเป็นเรื่องปรกติที่บริษัทต่างๆ มักส่งของขวัญให้กับสื่อมวลชนกันเล็กๆ น้อยๆ แต่ในวันวาเลนไทน์ปีนี้ทางเอเอ็มดีเล่นแรงกว่าปรกติ เมื่อส่งช็อกโกแลตในถ้วย I ♥ APU พร้อมกับการ์ดที่มีข้อความว่า
แดนที่รัก
เราได้ยินว่า Sandy B. ทำให้คุณอกหักเลยอยากจะบอกให้รู้ว่าเรารอคุณอยู่ที่นี่ และเรายังมีลูกพี่ลูกน้องจากเมืองลาโน, รัฐเท็กซัสมาแนะนำให้คุณรู้จักเร็วๆ นี้ เราเชื่อว่าคุณทั้งสองจะเข้ากันได้ดี
XOXO
AMD Fusion APU
จดหมายเป็นการประชดถึงปัญหาของชิปเซ็ต Sandy Bridge และพูดถึงแพลตฟอร์ม Llano สำหรับโน้ตบุ๊กที่กำลังจะเปิดตัวในเดือนหน้า
ในอนาคตอันใกล้นี้ เราอาจไม่ได้เห็นชื่อทางการค้าอย่าง Phenom หรือ Athlon อีกต่อไป เมื่อทางผู้สื่อข่าว X-bit labs ได้สืบทราบว่า CPU ใหม่อย่าง Llano หรือ Zambezi นั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการจาก AMD
แนวทางนี้เป็นแนวทางเดียวกับ Zacate และ Ontario ซึ่งเป็น CPU รุ่นเล็กที่ออกมาก่อนหน้า ที่มีชื่อรุ่นเพียง AMD E-xxx และ C-xxx แทนชื่อทางการค้าอย่างแต่ก่อน โดยจะใช้เพียงอักษรและเลขรุ่นเท่านั้น จากข้อมูลที่ทราบตอนนี้คือ FX สำหรับรุ่นท็อป (Zambezi) และ A สำหรับรุ่นกลาง (Llano)
หลังจากปัญหา Sandy Bridge คู่แข่งตลอดกาลอย่างเอเอ็มดีก็ไม่พลาดที่จะมาย้ำแผลนี้โดย Leslie Sobon รองประธานฝ่ายการตลาดสินค้าและแพลตฟอร์มได้ออกมาระบุว่าผู้ผลิตหลายรายเริ่มถามหาสินค้าจากเอเอ็มดีเพื่อไปแทนที่อินเทลที่ต้องถอนสินค้าออกจากหน้าร้านไป
ชิปที่ได้รับผลประทบจากปัญหาของ Sandy Bridge นั้นมีจำนวนประมาณ 8 ล้านชุด การที่ต้องถอนสินค้าออกจากตลาดทั้งหมด และปรับแก้สายการผลิตใหม่จนเริ่มส่งมอบชิปได้อีกครั้งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาทำให้สินค้าจากฝั่งอินเทลนั้นดูจะขาดช่วงไประยะหนึ่ง
AMD เปิดแถลงข่าวที่สิงค์โปร์ถึง AMD Fusion ตัวใหม่ที่กินไฟเพียง 5 วัตต์ซึ่งการกินไฟที่ต่ำระดับนี้น่าจะพอสำหรับการสร้างแท็บเล็ตได้
Ontario ตัวใหม่ยังคงทำงานที่สัญญาณนาฬิกา 1GHz และมีสองคอร์เช่นเดิม แต่ทางเอเอ็มดีระบุว่า I/O จำนวนหนึ่งจะถูกตัดออกไปเพื่อประหยัดพลังงานลง ทำให้รองรับหน่วยความจำได้ลดลง และจำนวนพอร์ตต่างๆ จะลดลงไป
อย่างไรก็ตามการออกแบบด้วย Ontario ยังต้องการชิปสองตัวคือซีพียูและชิปเซ็ต ต่างจาก ARM ที่มักเป็น SoC ครบวงจรบนชิปเดียว ซึ่งเรื่องนี้เอเอ็มดีอ้างว่าพอยอมรับได้สำหรับการออกแบบแท็บเล็ต ซึ่งมีพื้นที่มากกว่าโทรศัพท์มาก
Dileep Bhandarkar วิศวกรระดับสูงในฝ่าย Global Foundation Services ซึ่งทำหน้าที่ดูแลระบบเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดของไมโครซอฟท์ ไปบรรยายที่งาน The Linley Group Data Center Conference โดยพูดถึงสถาปัตยกรรมซีพียูสำหรับงานเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ที่กำลังเปลี่ยนไปจากเดิม
Bhandarkar พูดถึงการนำซีพียูประหยัดพลังงานอย่าง Atom หรือ Bobcat มาทำเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งมีข้อดีกว่าซีพียูสำหรับเซิร์ฟเวอร์แบบเดิมๆ อย่างพวก Xeon หรือ Opteron ในแง่ประสิทธิภาพต่อวัตต์ต่อราคา เขายังบอกว่าไมโครซอฟท์ได้ "ร้องขอ" ไปยังอินเทลและเอเอ็มดีให้ผลิตซีพียูประหยัดพลังงานที่มีจำนวนคอร์เยอะๆ เพื่อให้ไมโครซอฟท์นำมาใช้ทำเซิร์ฟเวอร์ด้วย
แฟนๆ เอเอ็มดีมีเรื่องให้ลุ้นกันอยู่ทุกไตรมาสคือผลประกอบการที่ยังไม่นิ่งเท่าใหร่นัก แต่ไตรมาสที่สี่ของปี 2010 เอเอ็มดีก็มีกำไรให้ชื่นใจถึง 375 ล้านดอลลาร์ จากรายได้ 1,650 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นรายได้รวมทั้งปี 6,490 ล้านดอลลาร์ กำไรรวม 471 ล้านดอลลาร์
ในรายงานประจำปีนี้เอเอ็มดียังสรุปภาพรวมเอาไว้หลายอย่าง
ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการ Cross-licensing สิทธิบัตรระหว่างอินเทลกับ NVIDIA หรือไม่ แต่ดูเหมือนว่านอกจากปัญหาเรื่องการแข่งขันที่เข้มข้นกว่าเดิม AMD กำลังประสบปัญหาเรื่องการบริหารระดับสูงในตอนนี้ด้วย เมื่อ Dirk Meyer ซีอีโอได้ลาออกจากตำแหน่ง หลังจากการเจรจาและตกลงร่วมกับบอร์ดบริหารของบริษัทแล้ว
โดย CFO ของบริษัท นาย Thomas Seifert จะเข้ามาเป็นซีอีโอชั่วคราว โดยนาย Seifert เองก็ได้เรียกร้องบอร์ดบริหารของบริษัทว่าโปรดอย่าพิจารณาเขาให้เป็นซีอีโอคนต่อไป
ที่มา - Engadget
หลังจาก Lenovo ชิงเปิดตัว ThinkPad X120e เป็นเจ้าแรก ผู้ผลิตรายอื่นๆ ก็พากันส่งโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่ใช้ชิป AMD Zacate ออกมากันเป็นขบวน ในตอนนี้รายชื่อได้แก่ Sony VAIO (ยังไม่ประกาศชื่อรุ่นทางการ), Toshiba Satellite C655D, และ HP dm1
จากรายงานของ Engadget นั้น Sony มีข้อดีที่สีสดใส และคีย์บอร์ดที่น่าใช้งาน ส่วนสเปคอื่นๆ นั้นได้แก่ AMD E-350 (dual core 1.6GHz), แรม 4GB, หน้าจอ 11.6", และฮาร์ดดิสก์ 500GB โดยยังไม่มีการประกาศราคาออกมา
ที่มา - Engadget
งาน CES ปีนี้เพิ่งเริ่มต้น ก็ได้เวลาของการอัพเกรดโน้ตบุ๊กยกตระกูล ThinkPad กันอีกครั้ง โดนตอนนี้มียืนยันออกมาแล้วสี่รุ่นเล็กคือ X120e, Edge E220s, Edge E420s, และ Edge E520
เป็นโน้ตบุ๊กตัวแรกที่ประกาศใช้ AMD Zecate โดยมีให้เลือกทั้ง E-240 (คอร์เดี่ยว 1.5GHz) และ E-350 (ดูอัลคอร์ 1.6GHz) พร้อมการ์ดจอ AMD Radeon HD 6310, ฮาร์ดดิสก์ 7200 รอบต่อนาทีขนาด 160GB หรือ 320GB และแรมสูงสุด 4GB น้ำหนักเริ่มต้นที่ 2.9 ปอนด์หรือ 1.3 กิโลกรัม ราคาเริ่มต้นที่ต่ำกว่า 400 ดอลลาร์หรือ 12,000 บาท
ราคา AMD Radeon HD 6950 นั้นถูกกว่า HD 6970 อยู่ประมาณสองพันบาทในต่างประเทศ แต่แฮกเกอร์ก็พบว่าการ์ดทั้งสองใบไม่มีอะไรต่างกันนอกจากตัวเฟิร์มแวร์บนการ์ดของ HD 6950 นั้นปิดส่วน shader ให้เหลือ 1408 หน่วย ขณะที่ HD 6970 นั้นมี 1536 หน่วย
ปรากฏว่าการอัพเกรดทำได้ง่ายมาก เพียงแต่ไปดาวน์โหลด ATI Winflash และไบออสของ HD 6970 ตัวจริงมาแล้วโหลดลงไปในตัวการ์ด เมื่อรีบูตเครื่องการ์ดก็จะได้รับการอัพเกรดเรียบร้อย
ปรกติแล้วการล๊อกชิปมักทำระหว่างกระบวนการผลิตเช่นการใช้เลเซอร์ตัดฟิวส์บางตัวออกเพื่อให้บางโมดูลในชิปไม่ทำงาน แต่ไม่แน่ชัดว่าทำไม AMD จึงเลือกกระบวนการล็อกด้วยซอฟต์แวร์ แถมยังไม่มีการตรวจสอบไบออสให้ตรงกับรุ่นการ์ด
การกลับมาของ AMD ในชิปตระกูล Bobcat อาจจะใกล้ตัวกว่าที่เราคิด เมื่อวันนี้มีรายงานว่าบริษัท invade IT ที่อยู่ในประเทศไทยได้วางขาย Acer Aspire One 522 ที่ใช้ชิป AMD Ontario แล้ว
สเปคของเน็ตบุ๊กรุ่นนี้ คือซีพียู AMD C-50 สองคอร์ 1GHz, แรม 2GB, ฮาร์ดดิสก์ 500GB, จอภาพ 10.1 นิ้ว 1280x720, และ Windows 7 Starter
ราคา 12,829 บาท ในเว็บระบุว่าส่งของได้ในหนึ่งถึงสามวัน ส่วนห้างไอทีทั้งหลายผมไม่แน่ใจว่าวางขายกันรึยัง ถ้าใครเจอแล้วฝากเอาไฟล์หนัง Full HD ไปลองกันด้วย
สืบเนื่องจากความผิดพลาดของ AMD Fusion ที่เลื่อนไปเลื่อนมาอยู่หลายปี รอบนี้เอเอ็มดีจึงพยายามย้ำหลายครั้งว่าซีพียูได้ส่งมอบแล้ว และเมนบอร์ดจะมีให้ผู้ใช้อย่างเราๆ ได้ใช้กันจริงๆ โดยพาผู้ผลิตสี่รายได้แก่ ASUS, GIGABYTE, MSI, และ SAPPHIRE ออกแถลงข่าวร่วมกันว่าเมนบอร์ดจากผู้ผลิตทั้งหมดกำลังจะมีวางตลาด
แม้ Bobcat จะแบ่งออกเป็นสองรุ่นคือ Zecate (สองคอร์กินไฟ 18 วัตต์) และ Ontario (คอร์เดี่ยวกินไฟ 9 วัตต์) แต่ผู้ผลิตทั้งสี่รายก็เลือกที่จะย้ำแต่เมนบอร์ดที่ใช้ชิป Zecate ว่ากำลังอยู่ระหว่างการผลิตโดยเมนบอร์ดทั้งหมดจะถูกออกแบบมาเพื่อพีซีที่กินพลังงานต่ำ, เงียบ, และราคาถูก ทางส่วนของ MSI นั้นเผยว่าจะมีเมนบอร์ดทั้งแบบ Mini-ITX และ microATX
หลังจากออก AMD Radeon สาย 6800 และ 6700 ไปเมื่อกลางๆ ปี ทางค่าย AMD ก็อัพเกรดการ์ดจอของตัวเองให้แรงขึ้นไปอีก โดยส่ง Radeon 6900 ลงสู่ตลาดแล้ว
Radeon 6900 จะแบ่งเป็น 2 รุ่นย่อยคือ Radeon HD 6970 ตัวบนสุด (มีหน่วยประมวลผลย่อย 1,536 คอร์) และ Radeon HD 6950 ที่รองลงมาหน่อย ประสิทธิภาพของ 6970 จะสูงกว่า Radeon 5870 อยู่ 2.9 เท่าตัว นอกจากสมรรถภาพด้าน 3 มิติ ก็ยังมีฟีเจอร์อื่นๆ อย่าง Eyefinity สำหรับต่อจอนอกได้สูงสุด 6 จอ และตัวช่วยประมวลผลวิดีโอ เป็นต้น
Radeon ทั้งสองตัวนี้จะมาชนกับ GeForce GTX 580 และ 570 ตามลำดับครับ
หลายบริษัทใหญ่ในโลกเทคโนโลยี ซึ่งประกอบด้วย AMD, Dell, Intel, Lenovo, Samsung และ LG ตกลงปลงใจเลิกและไม่สนับสนุนการส่งข้อมูลไปใช้ในการแสดงผลผ่านสาย VGA หลังปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) หรือหลังจากนี้อีกประมาณ 5 ปีกว่าๆ
VGA เป็นการส่งสัญญาณแบบอนาล็อกซึ่งใช้มานานกว่า 20 ปีแล้ว ในขณะนี้เราก็มีเทคโนโลยี DisplayPort หรือ HDMI ซึ่งทั้งสองวิธีที่จะนำมาทดแทนนั้นมีประสิทธิภาพในการจัดการพลังงานที่ดีกว่า ขนาดที่เล็กกว่า และยังรองรับการแสดงผลที่ความละเอียดสูงๆ
ที่มา - Engadget
ขณะที่ข่าวของ Bobcat นั้นดูจะใกล้ตัวเรามากกว่าแต่ฝั่ง Bulldozer ที่ใช้สำหรับเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูงนั้นก็มีข่าวออกมาแล้วว่าจะมีรุ่น 16 คอร์ที่มีชื่อรหัสว่า Interlagos ออกวางขายในไตรมาสที่สองปี 2011 และน่าจะหาซื้อได้ทั่วไปในไตรมาสที่สาม
Interlagos จะมาพร้อมช่องต่อหน่วยความจำแบบ DDR3 จำนวน 4 ช่อง (Core i7 มี 3 ช่อง) ขณะที่ Valencia ซึ่งเป็นรุ่นเล็กกว่านั้นจะมี 8 คอร์และช่องเชื่อมต่อหน่วยความจำ 2 ช่อง
ข่าวชิป Fusion ที่รอกันมานานแสนนาน แม้จะมีการแสดงตัวชิปหรือการยืนยันว่าสินค้าจะวางตลาดต้นปีหน้าแน่นอน แต่ก่อนหน้านี้ทางเอเอ็มดีก็ไม่เคยยอมให้ผลการทดสอบหลุดออกมาแต่อย่างใด ทำให้เราได้แต่เดาว่าชิปแต่ละตัวจะแรงกันแค่ไหน และวันนี้ทางเอเอ็มดีก็เชิญเว็บต่างประเทศจำนวนหนึ่งเข้าไปทดสอบเครื่องต้นแบบ Zacate กันแล้ว ทำให้เราเริ่มได้เห็นผลการทดสอบออกมา และผลสรุปแทบทุกค่ายก็ออกมาดีทีเดียว
เอเอ็มดีประกาศในงาน MeeGo Conference 2010 ว่าเข้าร่วมโครงการ MeeGo ระบบปฏิบัติการโอเพนซอร์สสำหรับอุปกรณ์พกพา
คุณ Ben Bar-Haim รองประธานบริษัทฝ่ายพัฒนาซอฟต์แวร์กล่าวว่า "เอเอ็มดียินดีที่จะได้ร่วมพัฒนาในโครงการที่เกิดจากแนวร่วมระดับอุตสาหกรรมอย่าง MeeGo และหวังว่าระบบปฏิบัติการนี้จะส่งเสริมผลิตภัณฑ์แบบฝังตัวของบริษัท รวมถึงขยายโอกาสทางการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Accelerated Processing Units (APU) ของเราในอนาคตด้วย"
มีเว็บไซต์แห่งหนึ่งเผยสไลด์ของเอเอ็มดี ซึ่งเผยว่าเอเอ็มดีเตรียมประกาศในงานแถลงผลประกอบการว่าแอปเปิลจะใช้ชิปของบริษัทกับหลายผลิตภัณฑ์ (ดูภาพที่ท้ายข่าว) ซึ่งคาดกันว่าแอปเปิลจะเลือกใช้แพลตฟอร์มล่าสุดคือ Fusion ซึ่งเป็นการรวมความสามารถของ CPU กับ GPU เข้าเป็นชิปเดียวกัน เรียกว่า APU
ที่มา: Neowin.net
หลังจากพลาดเป้ามาสองปี เอเอ็มดีก็กลับมาปล่อยชิปในตระกูล Fusion ลงสู่ตลาดได้จริงแล้วในวันนี้ิโดยทางเอเอ็มดีคาดว่าเครื่องที่ใช้ชิปรุ่นใหม่นี้จะวางตลาดได้จริงในช่วงต้นปีหน้า
ชิปที่ปล่อยออกมาจะแบ่งออกเป็นสองตระกูล คือ Ontario สำหรับเน็ตบุ๊ก และ Zacate สำหรับคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก โดยทั้งสองตระกูลจะมีสองรุ่นคือสองคอร์ และรุ่นคอร์เดียว
เอเอ็มดีใช้ชื่อเรียกเทคโนโลยี APU ของชิปรุ่นใหม่นี้ว่า Brazos โดยมีจุดเด่นที่ส่วนกราฟิกของชิปทุกตัวนั้นรองรับ DirectX 11 ทั้งหมดขณะที่ราคาเป้าหมายของเครื่องในตระกูลนี้น่าจะต่ำกว่า 500 ดอลลาร์ หรือ 15,000 บาท