หลังจากที่มีข่าวลือเรื่องการปิดเว็บไซต์ของ AOL ทั้ง Joystiq และ TUAW ล่าสุดทั้ง 2 เว็บประกาศปิดเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ โดยเว็บไซต์ Joystiq จะโยกทีมงานบางส่วนมาที่ Engadget ขณะที่ทีมงานที่เหลือยังไม่ทราบชะตากรรม ขณะที่เว็บไซต์ TUAW จะนำข่าวทั้งหมดมาไว้ที่ Engadget
ทั้งนี้ ทีมงาน TUAW บางส่วนจะย้ายมาเปิดเว็บใหม่ของตัวเองในนาม Apple World Today ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์นี้ โดยจะยังคงสไตล์การเขียนของ TUAW เหมือนเดิมทุกประการ
SingTel โอเปอเรเตอร์รายใหญ่ของสิงคโปร์ ประกาศเปิดตัวบริการวิดีโอออนไลน์ HOOQ ที่เปรียบได้กับ Netflix แห่งเอเชีย
HOOQ จะให้บริการภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดชื่อดังและซีรีส์ที่ฉายทางโทรทัศน์แบบสตรีมมิ่งไปยังอุปกรณ์หลากหลายชนิด ประเทศเป้าหมายของ HOOQ คืออินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ อินเดีย และไทย โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2015 เป็นต้นไป
สตูดิโอภาพยนตร์ชื่อดังที่ร่วมลงทุนกับ HOOQ คือ Sony Pictures Television และ Warner Bros. Entertainment ที่เข้ามาถือหุ้นรายละ 17.5% (SingTel ถือหุ้น 65%) เบื้องต้น HOOQ จะมีภาพยนตร์และรายการทีวีประมาณ 1 หมื่นเรื่องในช่วงเปิดตัว ชื่อหนังดังที่มีแน่ๆ คือ Spider-Man, Harry Potter, Friends, Gossip Girl
หลังจากที่มีข่าวลือมาก่อนหน้านี้ว่า AOL เตรียมปิดเว็บไซต์ Joystiq ล่าสุด เว็บไซต์ The Verge รายงานจากแหล่งข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นว่า AOL เตรียมปิดเว็บไซต์ TUAW (The Unofficial Apple Weblog) เว็บไซต์ข่าวสำหรับสาวกแอปเปิล โดยจากรายงานระบุว่า TUAW จะปิดตัวในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้
โดยจากรายงานของเว็บไซต์ TechCrunch ระบุเสริมว่า AOL เตรียมที่จะปลดพนักงานราว ๆ 150 คน โดยจะนำทีมงานเดิมของ TUAW และ Joystiq เข้าร่วมกับทีมงานของ Engadget โดย Joystiq จะยังคงไม่รวมกับทีมงานของ Engadget ส่วนทีมงานของ AOL Autos จะไปรวมกับทีมงานของ Autoblog แทน
เว็บไซต์ Recode เผย "ข่าวลือวงใน" ว่าเว็บข่าวเกม Joystiq อาจต้องปิดตัวลง หลังบริษัทแม่ AOL เตรียมล้างบางเว็บในสังกัดที่ผลประกอบการไม่เข้าเป้า
Joystiq เปิดเมื่อปี 2004 โดยเป็นเว็บเกมในเครือเดียวกับ Engadget และถูก AOL ซื้อยกบริษัทในปี 2005 นับถึงปัจจุบันก็คือเปิดมาเกิน 10 ปีแล้ว (เปิดปีเดียวกับ Blognone)
ฝั่งของ Joystiq รับมือกับเรื่องนี้โดยลงข่าวบนหน้าเว็บของตัวเองแบบติดตลกว่า "We do not comment on rumor and speculation" แต่ก็ให้ข้อมูลว่ามีข่าวลือมาสักระยะแล้ว แต่ยังไม่มีคำแถลงอย่างเป็นทางการจาก AOL ซึ่งทีมงาน Joystiq ก็ยืนยันจะทำงานต่อไปจนถึงวันสุดท้าย
เมื่อปลายปีก่อน YouTube เปิดบริการ Music Key ฟังเพลงแบบเหมารายเดือน ไม่มีโฆษณา ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีศิลปินบางรายที่ไม่พอใจจากการที่ถูก YouTube บังคับให้ใช้งานบริการใหม่ดังกล่าวออกมาพูดบ้างแล้ว
ศิลปินคนที่พูดถึงนี้คือ Zoë Keating ขาร็อคควงเชลโล่ที่ออกมาเผยผ่าน Tumblr ของตัวเองว่ามีตัวแทนของ YouTube ติดต่อมาหาเธอและอธิบายว่าเธอควรจะเข้าร่วมใช้งาน Music Key หรือไม่งั้นจะถูกตัดสิทธิ์การใช้ฟีเจอร์หารายได้ใน YouTube ทั้งหมด รวมถึงจะโดนปรับไปเป็นบัญชี YouTube ทั่วไปอีกด้วย
ภาพยนตร์เจ้าปัญหา The Interview ยังกวาดรายได้จากการฉายผ่านเน็ตอย่างต่อเนื่อง โดยขยับตัวเลขรายได้จาก 15 ล้านดอลลาร์ในช่วง 4 วันแรก ขึ้นมาเป็น 31 ล้านดอลลาร์แล้ว ยอดการซื้อ-เช่านับเป็นครั้งอยู่ที่ 4.3 ล้านครั้ง (นับสถิติถึงวันที่ 4 มกราคม)
ส่วนรายได้จากการฉายในโรงอยู่ที่ 5 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากจำนวนโรงฉายมีจำกัดมากนั่นเอง
ต้นทุนของหนังเรื่องนี้อยู่ที่ 44 ล้านดอลลาร์ น่าจะคืนทุนได้ภายในเร็ววันครับ
ผู้ให้บริการสตรีมมิ่งภาพยนตร์รายใหญ่ในสหรัฐอเมริกาอย่าง Netflix ได้เริ่มออกมาจัดการกับผู้ใช้ที่เข้าถึงเนื้อหาจากนอกประเทศด้วยวิธีการต่างๆ แล้ว โดยมีรายงานจากผู้ใช้จำนวนมากว่าไม่สามารถใช้เทคนิคเดิมๆ ในการเข้าถึงบริการของ Netflix จากนอกสหรัฐอเมริกาได้ในตอนนี้
บริษัท Nielsen Entertainment เผยข้อมูลอุตสาหกรรมเพลงในปี 2014 จากระบบวิเคราะห์และเก็บสถิติ Nielsen SoundScan ได้ข้อมูลที่น่าสนใจคือ การขายเพลงผ่านช่องทางดิจิทัลนั้นมีสัดส่วนที่ลดลง 9% เหมือนปีที่แล้ว สวนทางกับการสตรีมเพลงที่เติบโตถึง 54% ซึ่งหากมองโดยรวมของตลาดดิจิทัลแล้วก็ยังคงเติบโตสูงอยู่
หากมองยอดขายเพลงเป็นอัลบั้ม (ทั้งแบบ physical และ digital) พบว่าปรับตัวลดลงถึง 11.2% แต่สิ่งที่น่าสนใจคือยอดขายแผ่นเสียงแบบไวนิลกลับเติบโตสูงถึง 52% ถือเป็นยอดขายที่เติบโตดีที่สุดตั้งแต่ปี 1991 แต่ทั้งนี้ยอดขายแผ่นเสียงแบบไวนิลมีเพียง 3.6% ของยอดขายเพลงเป็นอัลบั้มเท่านั้น และหากดูยอดขายซื้อขาดเป็นเพลงก็มียอดขายลดลง 12.5%
หลังจากที่ซัมซุงอเมริกาเปิดตัวบริการวิดีโอออนไลน์ในชื่อ Milk Video ที่จำกัดการใช้งานเฉพาะอุปกรณ์ตระกูล Galaxy ไปเมื่อเดือนที่แล้ว ตอนนี้ซัมซุงอเมริกาได้เปิดบริการใหม่อีกตัวในชื่อ Milk VR
Sony Pictures ออกมาประกาศสถิติของการเปิดฉายภาพยนตร์ The Interview ผ่านระบบออนไลน์ เป็นเวลา 4 วันแรก โดยมียอดดาวน์โหลดหรือเช่ารวม 2 ล้านครั้ง ทำเงินได้แล้ว 15 ล้านดอลลาร์ ส่วนยอดฉายจากโรงภาพยนตร์รายย่อยในสหรัฐรวมกันได้ประมาณ 3 ล้านดอลลาร์
เว็บไซต์ Business Insider อ้างแหล่งข่าววงในว่าลูกค้าส่วนใหญ่มาจาก Google Play และ YouTube
จากประเด็น Sony Pictures โดนแฮ็ก และคำขู่ห้ามฉายภาพยนตร์ The Interview จนทำให้ บริษัทต้องเดินเกมฉายหนังออนไลน์ ผ่าน YouTube, Google Play Movies, Xbox Video พร้อมกับวันเริ่มฉายในโรงภาพยนตร์บางแห่ง
เว็บไซต์ ReadWrite แสดงความเห็นว่ากรณีของ The Interview อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ "ค่ายหนังใหญ่" เริ่มสนใจเปิดตัวภาพยนตร์ (premier) ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตพร้อมกับการฉายในโรงจริงๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ค่ายหนังรายใหญ่ปฏิเสธมาโดยตลอด ด้วยเหตุผลว่าต้องการโกยเงินจากการฉายในโรงให้เยอะๆ ก่อนจะนำหนังไปฉายผ่านช่องทางอื่นในภายหลัง
เว็บไซต์ฮาร์ดแวร์ชื่อดังสองแห่งมาอยู่ใต้ร่มเดียวกันแล้ว เมื่อ Purch เจ้าของปัจจุบันของเว็บเครือ Tom's Hardware ประกาศซื้อกิจการ AnandTech
Purch เป็นบริษัทสื่อออนไลน์ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2003 และเป็นเจ้าของเว็บไซต์ดังๆ หลายแห่ง เช่น Space.com, Live Science, Laptop Mag ช่วงหลังบริษัทไล่ซื้อกิจการเว็บไซต์จำนวนมาก โดยซื้อเว็บตระกูล Tom's ในปี 2013 ส่วนปี 2014 ซื้อ BuyerZone.com และ Mobile Nations (เจ้าของ Android Central, CrackBerry, iMore, Windows Central) จนล่าสุดมาซื้อ AnandTech นั่นเอง
Dr. Dobb's Journal เป็นนิตยสารด้านโปรแกรมมิ่งชื่อดังที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1975 แล้วเลิกพิมพ์ฉบับกระดาษในปี 2009 หันมาเอาดีด้านเว็บอย่างเดียว
แต่การเปลี่ยนจากหนังสือกระดาษมาเป็นเว็บก็ใช่ว่าจะเอาตัวรอด ล่าสุดทีมงาน Dr. Dobb's ประกาศยุติกิจการอย่างถาวรแล้ว ด้วยเหตุผลทางธุรกิจว่าไม่สามารถเดินต่อไปได้ รายได้จากโฆษณาลดลงเหลือเพียง 30% ของรายได้เมื่อสี่ปีแล้ว และตลาดโฆษณาออนไลน์ผ่านเว็บแบบเดิมก็ดูถดถอยลงเรื่อยๆ
เว็บไซต์ Dr. Dobb's จะยังอยู่ไม่หนีไปไหน เนื้อหาเก่ายังอยู่ครบ แต่นับจากสิ้นปีนี้เป็นต้นไปจะไม่มีเนื้อหาใหม่อีกแล้ว ทีมงานทั้งหมดต้องไปหางานอย่างอื่นแทน
Google Play สรุปสถิติแอพ เกม และเนื้อหาดิจิทัลที่มีคนดาวน์โหลดเยอะที่สุดในปี 2014 เริ่มจากแอพก่อนนะครับ
เพิ่งมีข่าวซัมซุงเตรียมหยุดทำตลาดแอพแชต ChatON ในบางประเทศที่คนใช้น้อย ล่าสุดซัมซุงประกาศปิดบริการอีกตัวคือ WatchON แอพทีวีไกด์บนมือถือที่เปิดตัวพร้อม Galaxy S4 โดยซัมซุงจะยังคงบริการ WatchON ไว้แค่ 2 ประเทศคือเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
ตัวแทนของซัมซุงระบุว่า WatchON จะปิดตัวลงในวันที่ 31 ธันวาคมนี้ ส่วนผู้ใช้ที่ซื้อเนื้อหาบนระบบ WatchON ไปแล้วยังเข้าถึงเนื้อหาเหล่านี้ได้ต่อไป
เมื่อสองปีก่อน Microsoft ได้ร่วมทุน Barnes & Noble ตั้งบริษัทลูก Nook Media โดยไมโครซอฟท์ลงทุนไปกับดีลนั้น 300 ล้านดอลลาร์เพื่อแลกกับหุ้นใน Nook Media แต่หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้เห็นผลิตผลจากความเป็นหุ้นส่วนนี้อีกเลยนอกจากแอพ Nook for Windows 8 (มีแต่ข่าวลือว่า Microsoft เตรียมซื้อหุ้น Nook Media ทั้งหมด) ท้ายที่สุดหุ้นส่วนธุรกิจระหว่างสองบริษัทก็เป็นอันจบสิ้นแล้วครับ
บริษัทวิจัยตลาด Parks Associates สำรวจส่วนแบ่งตลาดกล่องสตรีมมิ่ง (streaming media device) ยอดนิยมในกลุ่มผู้ใช้บรอดแบนด์ของสหรัฐอเมริกา ผลปรากฎว่า Chromecast ของกูเกิลสามารถแซงหน้า Apple TV ขึ้นมาเป็นอันดับสองได้แล้ว
อุปกรณ์ยอดฮิตอันดับหนึ่งยังเป็นกล่อง Roku ที่ครองแชมป์มายาวนาน แต่ด้วยส่วนแบ่งที่ลดลงจากเดิมมาก นอกจากนี้อุปกรณ์หน้าใหม่ๆ อย่าง Amazon Fire TV ก็เบียดเข้ามาเป็นอันดับสี่เช่นกัน ทำให้ผู้เล่นหน้าเดิมๆ อย่าง Sony, Netgear, D-Link อันดับตกลงกันถ้วนหน้า
Parks Associates ยังให้ข้อมูลว่าเกือบ 50% ของผู้ชมโทรทัศน์ในสหรัฐหันมาดูรายการแบบ on-demand ผ่านอินเทอร์เน็ตกันแล้ว ขยับสูงขึ้นจากสัดส่วน 38% ในปี 2010
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซัมซุงอเมริกาเปิดตัวบริการวิดีโอออนไลน์ ชื่อ Milk Video โดยให้บริการเฉพาะกับผู้ใช้อุปกรณ์ตระกูล Galaxy ตั้งแต่ปี 2012 เท่านั้น คือ S5, S4 (รวมรุ่น mini), S III (รวมรุ่น mini), Note 4, Note 3, Note II และ Mega
Milk Video จะแสดงวิดีโอที่ผู้ใช้สมัครติดตาม (follow) และวิดีโอที่คาดว่าผู้ใช้อยากดูโดยการเรียนรู้ประวัติการรับชม การให้คะแนนความชื่นชอบและการแบ่งปันต่อ ระบบยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาวิดีโอที่ใหม่ล่าสุดและกำลังอยู่ในกระแสได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
มีแบรนด์สินค้าและบริการที่ทำช่องบน Milk Video แล้ว อาทิ Red Bull, Vevo และ GQ เป็นต้น ซัมซุงยังโฆษณาว่าบริการวิดีโอออนไลน์นี้จะนำเสนอละครซีรีย์และคอนเทนต์ที่หาไม่ได้จากที่อื่นด้วย
จากข่าวเปิดตัวบริการเพลงออนไลน์ YouTube Music Key ที่เสียค่าบริการ 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน แล้วจะได้สิทธิใช้บริการเพลงออนไลน์อีกตัวคือ Google Play Music All Access ด้วย ทำให้เกิดคำถามว่าผู้ที่เสียเงินค่าสมาชิก All Access ไปแล้วจะทำอย่างไร
ล่าสุดกูเกิลตอบมาแล้วว่าสมาชิก Google Play Music All Access จะได้สิทธิ YouTube Music Key ด้วยเช่นกัน โดยจะเริ่มให้บริการในสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป และแอพ Google Play Music ก็จะเพิ่มบริการมิวสิควิดีโอแบบไม่มีโฆษณาให้ด้วยเช่นกัน
ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าระยะยาวแล้วกูเกิลจะรวมบริการทั้งสองตัวเข้าด้วยกันหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือทั้งสองตัวยังไม่เปิดบริการในไทยครับ
โซนี่เปิดตัว PlayStation Vue (อ่านว่า "วิว") บริการดูทีวีผ่านเน็ตแบบเก็บค่าสมาชิกสำหรับ PS3, PS4 และ iPad
รูปแบบการใช้งาน PlayStation Vue จะคล้ายกับการสมัครสมาชิกเคเบิลทีวี เลือกได้ระหว่างรายการสดหรือดูย้อนหลัง 3 วันล่าสุดได้ตามสะดวก ลูกค้ายังสามารถเลือกเก็บรายการบางตอนที่ชอบไว้ดูย้อนหลังได้นานถึง 28 วัน
โซนี่ยังไม่เปิดเผยราคาของ Vue โดยบอกเพียงว่าสมัครสมาชิกเฉพาะเดือนที่ต้องการได้เลย (ไม่มีสัญญาผูกมัดเป็นปี) ลูกค้าในแต่ละประเทศจะมีทีวีให้เลือกดูประมาณ 75 ช่อง รายชื่อบริษัททีวีในสหรัฐที่เป็นพันธมิตรกับโซนี่ได้แก่ CBS, Fox, Discovery, NBCUniversal, Scripps และ Viacom
หลังจากลือกันมานานเป็นปี ในที่สุดกูเกิลก็เปิดตัวบริการฟังเพลงออนไลน์แบบเหมาจ่ายรายเดือน YouTube Music Key อย่างเป็นทางการ โดยจะเริ่มให้บริการในสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป
YouTube Music Key จะคิดค่าบริการ 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน (ช่วงเปิดตัวลดราคาเหลือ 7.99 ดอลลาร์) ให้ฟังเพลง/ดูมิวสิควิดีโอจาก YouTube แบบไม่จำกัด ไม่มีโฆษณา ฟังแบบออฟไลน์ได้ และเล่นวิดีโอแบบ background ได้ (ปิดจอมือถือหรือสลับไปแอพอื่นแล้วเพลงยังเล่นต่อ) ผู้สมัครบริการนี้จะยังได้สิทธิฟังเพลงจาก Google Play Music ที่มีเพลงกว่า 30 ล้านเพลงด้วย
ปัญหาของการอ่านอีบุ๊กเทียบกับอ่านหนังสือกระดาษคือมันพลิกหน้ากลับไปกลับมาค่อนข้างยาก ทำให้อีบุ๊กเหมาะสำหรับการอ่านนิยาย มากกว่าการอ่านตำราหรือหนังสือคู่มือต่างๆ
Google Play Books เพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพื่อแก้ปัญหานี้ โดยผู้ใช้สามารถเปิดอ่านข้ามๆ (skim) ได้แบบเร็วๆ โดยแอพจะแสดง thumbnail ของหน้าหนังสือให้ไล่ดูได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Quick Bookmarks สำหรับคั่นหน้าที่ใช้บ่อยเอาไว้ และสามารถกดสลับไปมาระหว่างที่คั่นหน้าแต่ละอันได้ง่าย
Deezer บริษัทเพลงออนไลน์สัญชาติฝรั่งเศส (ที่คนไทยน่าจะคุ้นกันดีเพราะมาทำตลาดกับ dtac) ประกาศซื้อบริษัท Stitcher ซึ่งทำแคตาล็อกรายการสนทนาออนไลน์และพ็อดแคสต์ต่างๆ (หรืออธิบายง่ายๆ คือเป็นวิทยุออนไลน์ส่วนที่ไม่ใช่เพลง)
Stitcher มีรายการสนทนาและพ็อดแคสต์มากถึง 35,000 รายการจากสถานีและผู้ผลิตกว่า 12,000 ราย รวมถึงมีสัญญากับผู้ผลิตรถยนต์รุ่นดังๆ มากมายในการผนวกรายการเข้ากับระบบเครื่องเสียงภายในรถ ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์มใหม่ๆ ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto ด้วย
การซื้อกิจการ Stitcher ย่อมช่วยให้ Deezer แข็งแกร่งขึ้นมากในโลกของวิทยุออนไลน์ และมีอาวุธพร้อมทั้งเพลงและรายการสนทนา
ยุคของการขายเพลงออนไลน์แยกเป็นเพลงอาจเข้าสู่ช่วง "ขาลง" อย่างชัดเจน เพราะมีข่าว (ยังไม่ยืนยัน) ว่าหัวหอกของวงการนี้อย่าง iTunes Store มียอดขายเพลงลดลง 13-14% เทียบกับปีที่ผ่านมา
สถิติรายได้จากการดาวน์โหลดเพลงทั่วโลกในปี 2013 ลดลง 2.1% เทียบกับปี 2012 ดังนั้นข่าวข้างต้นอาจเป็นสัญญาณว่ารายได้ในปี 2014 จะลดลงกว่าเดิมมาก
ตลาดเพลงออนไลน์เริ่มขยับเข้าสู่บริการเพลงสตรีมมิ่งแบบเหมาจ่ายรายเดือนมาได้สักพักแล้ว และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่แอปเปิลซื้อ Beats Music เข้ามาเสริมทัพ อย่างไรก็ตาม ตลาดนี้ไม่ง่ายเพราะมีการแข่งขันสูงจากผู้เล่นหลายราย เช่น Spotify, Pandora, Deezer
เชื่อว่าหลายๆ คนที่ติดตามข่าวสารของ Windows Phone น่าจะรู้จัก WPCentral เป็นอย่างดี และในวันที่ 20 ที่ผ่านมา ทางเว็บไซต์ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น Windows Central เรียบร้อยแล้ว
เหตุผลในการเปลี่ยน เนื่องจาก Windows 10 เดินเกมใต้วิสัยทัศน์ One Windows ไม่ใช้ชื่อ Windows Phone อีกต่อไป และช่วงหลังทางเว็บเองก็นำเสนอข่าวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Microsoft นอกเหนือจาก Windows Phone ด้วย ทางเว็บจึงได้ทำการเปลี่ยนชื่อโดเมนของเว็บ, Twitter, Instagram และจะมีการอัพเดตเปลี่ยนชื่อแอพในภายหลัง