หลังจากที่ Jeff Bezos ซื้อกิจการหนังสือพิมพ์ Washington Post เมื่อปีที่แล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรมากมาย แต่ล่าสุด Amazon ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจการหลักของ Bezos เตรียมที่จะนำเอาเนื้อหาของหนังสือพิมพ์ Washington Post ให้อ่านฟรี สำหรับเจ้าของ Fire HD รุ่นล่าสุด
อย่างไรก็ตาม บริการข่าวดังกล่าวจะขยายไปยังแพลตฟอร์มอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย นอกเหนือไปจากแท็บเล็ต Fire (เช่น Kindle, iPad, Android) แต่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายบริการสมาชิก สำหรับคนที่ต้องการจะเข้าใช้บริการนอกเหนือจากแท็บเล็ต Fire HD
ที่มา - Engadget
นิตยสาร Macworld เป็นนิตยสารไอทีฉบับกระดาษรายล่าสุดที่ประกาศปิดตัวเอง โดยบริษัทแม่ IDG จะยังคงธุรกิจเว็บไซต์ Macworld.com เอาไว้ แต่ทีมบรรณาธิการส่วนใหญ่ของนิตยสารจะตกงาน เหลือเฉพาะทีมงานบางส่วนเท่านั้น
Dan Miller บรรณาธิการคนหนึ่งของ Macworld โพสต์ข้อความว่าเขาจะทำงานอีก 1 เดือนเพื่อช่วยกระบวนการเปลี่ยนผ่าน ส่วน Jason Snell ผู้อำนวยการกองบรรณาธิการก็ออกมาเขียนบล็อกว่าบริษัทแม่ IDG เปลี่ยนผู้บริหารหลายครั้ง (6 ครั้งใน 2 ปี) และมีความไม่แน่นอนสูงว่าจะเอายังไงต่อกับธุรกิจของ Macworld
ที่มา - Jason Snell, 9to5mac
Kalev Leetaru นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Georgetown สกัดรูปภาพจาก "หนังสือเก่า" ที่โครงการ Internet Archive เคยสแกนเอาไว้กว่า 600 ล้านหน้า แล้วอัพโหลดรูปภาพหายากเหล่านี้ขึ้น Flickr ให้เป็นสมบัติสาธารณะ
รูปภาพทั้งหมดดูได้จาก Internet Archive Book Images ปัจจุบันมีรูปถูกอัพโหลดขึ้นไปแล้ว 2.6 ล้านรูป ที่สำคัญคือรูปเหล่านี้มาพร้อมกับ metadata แบบละเอียดมากๆ ทั้งชื่อหนังสือ เลขหน้า และข้อความที่รายล้อมรูปนั้นๆ เพื่อให้รู้บริบทว่ารูปเกี่ยวข้องกับอะไรอีกด้วย
เราเห็นข่าวลือเรื่อง YouTube จะเปิดบริการเพลงออนไลน์แบบเสียเงินอยู่เรื่อยๆ ส่วนข่าวลือรอบล่าสุดบอกว่ากูเกิลจะใช้ชื่อ YouTube Music Key ทำตลาดครับ
บริการของ YouTube Music Key จะเหมือนบริการเพลงสตรีมมิ่งอื่นๆ คือฟังได้เฉพาะเพลง (ไม่รวมวิดีโอ) ฟังแบบออฟไลน์ได้ และไม่มีโฆษณา ส่วนค่าบริการอยู่ที่เดือนละ 9.99 ดอลลาร์ มีให้ทดลองใช้ฟรีก่อน 30 วัน
ข่าวรอบนี้เว็บไซต์ Android Police ได้ภาพหน้าจอของบริการ YouTube Music Key บน YouTube for Android มาด้วย จึงมีโอกาสสูงที่ข้อมูลนี้น่าจะเป็นของจริง (นอกจากนี้ยังค้นพบข้อมูลว่ากูเกิลจดโดเมน youtubemusickey.com เรียบร้อยแล้ว)
ผู้อ่าน Blognone น่าจะคุ้นเคยกับบริการ AIS Mobile Barclays Premier League ที่ AIS ซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในประเทศไทยจาก CTH มาให้บริการบนอุปกรณ์พกพา
ล่าสุด Sanook เว็บไซต์ชื่อดังของไทยก็ซื้อลิขสิทธิ์แบบเดียวกัน แต่มาถ่ายทอดบนเว็บไซต์สำหรับกลุ่มผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์แทน โดยจะเริ่มถ่ายทอดผ่านเว็บ http://cth.sanook.com/ ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2557 เป็นต้นไป (เริ่มตามฤดูกาล 2014/2015)
อัตราค่าบริการแบ่งเป็นแบบรายวัน 199 บาท และรายเดือนเริ่มต้นที่ 399 บาท ส่วนแพ็กเกจสูงสุดคือ 5,699 บาทรับชมได้ทั้งซีซัน รายละเอียดดูในประกาศท้ายข่าว
ค่าย EA เปิดตัวบริการเล่นเกมแบบเหมาจ่าย EA Access สำหรับผู้เล่นบน Xbox One โดยจ่ายเดือนละ 4.99 ดอลลาร์ (หรือปีละ 29.99 ดอลลาร์) จะได้สิทธิเล่นเกมดังๆ ของ EA แบบไม่จำกัด
เบื้องต้น EA Access มีเกมให้เล่น 4 เกมคือ FIFA 14, Madden NFL 25, Peggle 2, Battlefield 4 แต่ในอนาคตจะมีเกมเพิ่มเข้ามาอีก นอกจากเกมที่ระบุแล้ว EA จะยังให้ส่วนลดสมาชิก EA Access ซื้อเกม (แบบซื้อขาด) อีก 10% และได้สิทธิเล่นเกมใหม่ล่าสุดของ EA (เช่น เกมกีฬาของปี 2015) ก่อนใครเป็นเวลา 5 วันก่อนวันวางขายด้วย
ทิศทางของ EA Access ถือว่าน่าสนใจในการผลักดันบริการเหมาจ่ายรายเดือน (ลักษณะเดียวกับ Netflix หรือบริการเพลงออนไลน์ต่างๆ) มาสู่วงการเกมครับ
นิตยสารคอมพิวเตอร์ชื่อดังในต่างประเทศล้มหายตายจากไปเรื่อยๆ เริ่มจาก PC Magazine ที่หยุดพิมพ์ฉบับกระดาษในปี 2008 ตามด้วย PC World ในปี 2013 ล่าสุดนิตยสาร Computerworld ก็ประกาศหยุดพิมพ์ฉบับกระดาษแล้วเช่นกัน
Computerworld มีอายุเก่าแก่ถึง 47 ปี (ฉบับแรกออกปี 1961) โดย Patrick J. McGovern บรรณาธิการคนแรกของนิตยสารก็เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท International Data Group (IDG) กลุ่มธุรกิจสื่อและข้อมูลการตลาดรายใหญ่ของโลก (นิตยสารอื่นของ IDG คือ PCWorld, Macworld, Infoworld รวมถึงบริษัทวิจัยตลาดอย่าง IDC ด้วย)
ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจว่า จำกัดเฉพาะในสหรัฐเท่านั้นครับ
ช่องกีฬาชื่อดัง ESPN ประกาศความร่วมมือกับกูเกิล โดยจะแสดง "คลิปไฮไลต์" การแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ในหน้าผลการค้นหาของ Google Search เมื่อผู้ใช้ค้นหาด้วยคำค้นที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการแข่งขันนัดหนึ่ง (ที่กำลังแข่งอยู่ตอนนั้น หรือจะมาค้นหลังแข่งจบก็ได้) นอกจากกูเกิลจะแสดงผลการแข่งขัน รายชื่อผู้เล่น ตารางคะแนน ตามปกติแล้ว ก็จะมีคลิปไฮไลต์ผลการแข่งขันจากเว็บไซต์ ESPN FC (เว็บไซต์ฟุตบอลของ ESPN) ให้คลิกชมได้ฟรี และถ้าอยากดูวิดีโอการแข่งขันแบบสดๆ หรือย้อนหลังก็สามารถคลิกลิงก์ WatchESPN เพื่อดูคลิปแบบเสียเงินได้
YouTube จะเริ่มจัดการกับจำนวนตัวเลขผู้ติดตามของช่องต่างๆ ให้ถูกต้องและเที่ยงตรงเหมือนอย่างจำนวน likes และ views แล้ว ด้วยการลบบัญชีที่ไม่มีการใช้งานออกจากการติดตาม (subscription) ของช่องต่างๆ ในวันที่ 16 มิถุนายนนี้
เจ้าของช่องอาจพบว่าจำนวนผู้ติดตามลดลงไปบ้าง แต่จะไม่มีผลกระทบต่อ view โดยรวมของวิดีโอเพราะบัญชีเหล่านั้นไม่ได้ถูกใช้งานอยู่แล้ว โดยทาง YouTube กล่าวว่าการลบบัญชีผู้ใช้จากการติดตามแบบอัตโนมัตินี้สามารถแก้ไขได้ หากเกิดความผิดพลาดขึ้น
ที่มา - YouTube Creators Blog
กูเกิลขยายบริการร้านขายเนื้อหาดิจิทัล Google Play ไปไกลกว่าแอนดรอยด์แล้ว โดยผู้ใช้ Chrome บนพีซี หรือ Chromebook สามารถนั่งดูภาพยนตร์หรือรายการทีวีที่ซื้อไว้ในบัญชี Google Play ของตัวเองได้ด้วย
ผู้ที่อยากดูภาพยนตร์บนพีซีจำเป็นต้องติดตั้งส่วนเสริมชื่อ Google Play Movies & TV จาก Chrome Web Store จากนั้นก็เลือกภาพยนตร์ที่ต้องการจากแอพโดยตรง
แนวโน้มตลาดวิดีโอออนไลน์เริ่มชัดเจนว่า ผู้ให้บริการแต่ละรายต้องเร่งสร้างจุดต่างของตัวเองผ่านการสร้างรายการแบบ exclusive เช่น House of Cards ของ Netflix, Amazon Originals, Xbox Originals หรือ YouTube เองก็มีโครงการสนับสนุนผู้สร้างวิดีโออินดี้อย่าง YouTube Creator
ผู้เล่นรายล่าสุดที่บุกเข้ามาตลาดนี้คือ Vimeo ที่ประกาศจ้างทำซีรีส์ออนไลน์แนวตลกชื่อ High Maintenance จำนวน 6 ตอน และจะเริ่มฉายภายในปีนี้
ก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี ซัมซุงพยายามผลักดันบริการดิจิทัลคอนเทนต์ใต้แบรนด์ Samsung Hub ที่ประกอบด้วยร้านขายอีบุ๊ก เพลง วิดีโอ ฯลฯ ที่ผูกมากับมือถือตระกูล Galaxy
แต่มาถึงวันนี้ดูเหมือนว่ายุทธศาสตร์ Samsung Hub ดูจะไม่ได้ผลเท่าไรนัก และเมื่อไม่นานมานี้ ซัมซุงก็ประกาศปิด Samsung Hub Books ไปแล้ว โดยเปลี่ยนมาใช้วิธีจับมือกับ Amazon Kindle แทน
บริการล่าสุดที่ต้องเจอชะตากรรมนี้คือร้านขายเพลง Samsung Music หรือ Music Hub ที่จะปิดตัวในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ถ้าผู้ใช้เคยซื้อเพลงผ่าน Samsung Music ไปแล้วก็ยังมีเวลาดาวน์โหลดไฟล์มาเก็บไว้ในเครื่องตัวเองจนถึงวันที่ 1 กรกฎาคมเช่นกัน
Shutterstock เว็บไซต์ขายภาพถ่ายชื่อดัง ขยายบริการใหม่มาขาย "เพลงและดนตรี" เพิ่มเติมด้วย โดยใช้ชื่อว่า Shutterstock Music
รูปแบบการขายเพลงของ Shutterstock ก็คล้ายกับการขายภาพแบบเดิม คือขายเพลงคุณภาพสูงสำหรับใช้ในงานสร้างสรรค์ต่างๆ (เช่น วิดีโอ) ไฟล์เพลงทั้งหมดเป็นไฟล์คุณภาพสูง ไม่มีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ และมีระบบช่วยค้นหาไฟล์เพลงที่เหมาะสมกับงานที่ใช้ เช่น มีระบบแท็กอย่างละเอียดที่บอก "อารมณ์" (mood) ของเพลงนั้น และแสดงภาพของลูกคลื่น (waveform) ให้ดูประกอบด้วย
ตัวแทนของซัมซุงให้ข้อมูลกับ CNET เกี่ยวกับบริการวิดีโอออนไลน์แบบสตรีมมิ่งที่ใช้โค้ดเนมว่า Project Glued โดยจะเน้นทำตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาดว่าจะเปิดตัวได้ในไตรมาสที่สามของปีนี้ เริ่มจากสิงคโปร์และตามด้วยฟิลิปปินส์
Project Glue ถูกพัฒนาโดยศูนย์วิจัย Media Solutions Center ในสิงคโปร์ รายการที่นำมาฉายคือรายการทีวีซีรีส์ต่างๆ ซัมซุงบอกว่าจะตั้งราคาที่ 6.50 ดอลลาร์ (ประมาณ 220 บาท) ต่อการดูหนัง 30 วัน และยังมีระบบการ "เช่า" ซีรีส์ตลอดทั้งซีซันได้ด้วย (เบื้องต้นจำกัดเฉพาะซีรีส์จากสหรัฐและสหราชอาณาจักร)
ซัมซุงบอกว่าช่วงแรกจะยังเน้นเฉพาะประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษอย่างสิงคโปร์และฟิลิปปินส์ก่อน ยังไม่มีข้อมูลว่าสุดท้ายแล้วจะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยหรือไม่ครับ
Publicis Groupe บริษัทเอเจนซี่โฆษณาอันดับ 3 ของโลก ได้ตกลงเซ็นสัญญาเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับเฟซบุ๊ก โดยสัญญานี้มีมูลค่าถึง 500 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเปิดเผยข้อตกลงในสัญญาออกมา โดยดีลนี้จะมีผลต่อบริษัทลูกของทั้งสองบริษัทด้วย
กลุ่มลูกค้าของบริษัทเอเจนซี่เหล่านี้จะได้เรทโฆษณาในราคาพิเศษ ขณะที่บริษัทเอเจนซี่สามารถเข้าถึงข้อมูล insight และบุคลากรของเฟซบุ๊ก เพื่อผลิตสื่อโฆษณาพิเศษเฉพาะบนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม
งบประมาณจำนวนมากขึ้นกำลังถูกใช้ในการโฆษณาบนสื่ออินเทอร์เน็ตและโมบาย ถึงแม้จะยังไม่เท่าสื่อโฆษณาบนโทรทัศน์ก็ตาม แต่ก็เริ่มเห็นทิศทางของความเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างก่อนหน้านี้ อินสตาแกรมและทวิตเตอร์ก็มีการเซ็นสัญญาในลักษณะเดียวกันนี้ด้วยเช่นกัน
แอพที่ถูกจับตามากในแวดวงภาพยนตร์ออนไลน์คือ Popcorn Time ที่ลักษณะการใช้งานคล้าย Netflix แต่เบื้องหลังการทำงานของมันจะไปค้นหาภาพยนตร์ (เถื่อน) จาก BitTorrent และเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องมาให้อัตโนมัติ
Popcorn Time ถูกกดดันจากบรรดาบริษัทสื่อทั้งหลายจนต้องปิดตัวเองเมื่อเดือนมีนาคม 2014 แต่เนื่องจากมันเป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส ทำให้นักพัฒนากลุ่มอื่นชุบชีวิตมันขึ้นมาภายใต้ชื่อเดิม (แต่เปลี่ยน URL)
ผู้ที่ติดตามวงการบันเทิงในสหรัฐอเมริกา คงพอทราบว่าบริการวิดีโอออนไลน์ดังๆ เริ่มผลิตภาพยนตร์หรือละครซีรีส์ของตัวเองเพื่อสร้างจุดขาย เรียกลูกค้ามาใช้บริการให้มากขึ้น (ตัวอย่างเช่น Netflix ที่มี House of Cards หรือ Marvel Heroes, Amazon Studios ที่ทำภาพยนตร์ฉายผ่าน Amazon Instant Video)
ฝั่งของไมโครซอฟท์ที่พยายามยึดตลาดห้องนั่งเล่นฝรั่งมานานก็ไม่น้อยหน้า และหลังจากที่เกริ่นว่าจะทำซีรีส์ฉายเฉพาะบน Xbox มานาน วันนี้ก็ถึงเวลาเปิดตัว Xbox Originals
เบื้องต้นไมโครซอฟท์ได้ประกาศข้อมูลของซีรีส์ที่กำลังทำอยู่จำนวนหนึ่ง
สหรัฐอเมริกามีบริการสตรีมมิ่งทั้งภาพยนตร์และเพลงที่โด่งดังหลายตัว เช่น Netflix หรือ Hulu อย่างไรก็ตาม บริการเหล่านี้ถูกจำกัดให้เข้าถึงได้ (แม้จะเสียเงินแล้วก็ตาม) จากภายในประเทศที่ให้บริการเท่านั้น ด้วยเหตุผลด้านลิขสิทธิ์ของภาพยนตร์ที่ซื้อมาครอบคลุมเฉพาะประเทศนั้นๆ
ทางออกของคนที่อยู่ต่างประเทศและอยากดูวิดีโอบน Netflix หรือ Hulu จึงเป็นการต่อผ่าน VPN ไปโผล่ที่เครื่องภายในสหรัฐก่อน จากนั้นค่อยส่งข้อมูลผ่าน VPN กลับมายังเครื่องของเราอีกทีหนึ่ง
จริงๆ เป็นข่าวเก่าใหม่ปนกัน แต่ขออนุญาตรวบข่าวเลยละกันครับ
เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา อเมซอนประกาศเข้าซื้อกิจการ comiXology ซึ่งเป็นระบบขายการ์ตูนคอมมิคแบบดิจิทัลที่โด่งดังมากทางฝั่งอเมริกา มีแอพให้ซื้อและอ่านการ์ตูนทั้งบน iOS, Android และ Kindle Fire มีพวกการ์ตูนดังๆ จากทั้งฝั่ง DC, Marvel และ Dark Horse มากันครบ อีกทั้งเป็นแอพทำเงินติดอันดับ Top Ten ใน App Store ในปี 2011 และ 2012 และเป็นแอพทำเงินมากที่สุดในกลุ่มไม่ใช่เกมบน iPad ในปี 2012 และ 2013
Facebook ประกาศเพจใหม่ FB Newswire ที่ทำหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือ "แชร์" ข่าวด่วนและข่าวสารที่น่าสนใจจากสำนักข่าว นักข่าว องค์กรข่าวจากทั่วโลก มาให้ผู้ใช้งานที่สนใจ "ตามข่าว" สามารถติดตามข้อมูลกันง่ายๆ โดยการกดไลค์เพจนี้เพียงเพจเดียว (นอกจากนี้ยังตามผ่าน @FBNewswire ได้ด้วย)
Facebook อาศัยความร่วมมือกับบริษัท Storyful ซึ่งมีเอนจินการค้นหาข่าวสารที่น่าสนใจจากเครือข่ายสังคม และยืนยันความถูกต้องของข่าวนั้นโดยอัตโนมัติ มาทำงานอยู่เบื้องหลังเพจ FB Newswire
ที่มา - Facebook
Mathias Döpfner ซีอีโอของบริษัท Axel Springer สื่อยักษ์ใหญ่ในยุโรป เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง Eric Schmidt ประธานบริหารของกูเกิล เปิดเผยว่าบริษัทเขา "เกรงกลัว" กูเกิลเพราะการผูกขาด รวมไปถึงกังวลว่ากูเกิลจะพยายามทำตัวลอยอยู่เหนือกฎหมายจากช่องว่างทางกฎหมาย
Döpfner กล่าวว่าถึงแม้บริษัทเค้าจะฟ้องร้องเรื่องการผูกขาดของกูเกิลต่อคณะกรรมการยุโรป (European Commission) แต่บริษัทเขาจำเป็นต้องพึ่งพากูเกิลอยู่ดี จากทั้งทราฟฟิกของกูเกิลและการโฆษณา นั่นก็เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่นที่สามารถสร้างรายได้ได้เท่ากับที่เขาพึ่งพากูเกิล รวมไปถึงได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน อย่างบริษัทลูกของ Axel Springer ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับอัลกอริธึมในการค้นหาของกูเกิล ทำให้ทราฟฟิกหายไปกว่า 70%
ซัมซุงเปิดบริการ Milk Music ไปเมื่อเดือนก่อน โดยโฆษณาตัวเองตั้งแต่ต้นว่าฟรีสำหรับลูกค้ามือถือ Galaxy และไม่มีโฆษณาคั่นระหว่างรายการ แต่ล่าสุดดูเหมือนซัมซุงจะเปลี่ยนใจให้ Milk Music ไม่ฟรีอีกต่อไปแล้ว โดยในเร็วๆ นี้ซัมซุงจะเริ่มปล่อยโฆษณาคั่นรายการระหว่างเปลี่ยนเพลงให้ Milk Music ซึ่งแนวทางนี้เหมือนกับบริการของ iTunes Radio นั่นเอง
ทั้งนี้ผู้ใช้สามารถสมัครแพคเกจเสริมเพื่อถอดโฆษณาได้ในราคา 3.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 120 บาทต่อเดือน โดยนอกจากผู้ใช้จะสามารถถอดโฆษณาออกได้แล้วนั้น ซัมซุงยังสัญญาอีกว่าจะมีฟีเจอร์พิเศษที่สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่ใช้แพคเกจนี้ได้อีกด้วยครับ
อย่างไรก็ดีในขณะนี้ผู้ใช้สามารถใช้บริการ Milk Music ได้ฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าบริการข้างต้นครับ
เว็บไซต์ PetaPixel ได้รับอีเมลจากทาง Getty Images ว่า ทาง Getty Images ประกาศว่า สัญญากับทาง Flickr (ที่เคยจับมือกันเมื่อปี 2008) ได้หมดลงอย่างเป็นทางการแล้ว โดยจากอีเมลที่เว็บไซต์ PetaPixel ได้รับมานั้นระบุว่า Getty Images จะยังคงต้อนรับ Yahoo!/Flickr อยู่เสมอไม่เปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้ทางโฆษกของ Yahoo! ได้ออกมายืนยันกับข่าวนี้ พร้อมทั้งบอกว่า "เรายินดีที่ได้เคยเป็นพันธมิตรกับทาง Getty Images ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาในการให้สิทธิ์กับผู้ใช้งาน Flickr ในการขายภาพใน Getty Images"
ซัมซุงอเมริกาเปิดตัวบริการเพลงแบบสตรีมมิ่ง (บางที่ก็เรียกวิทยุออนไลน์) ชื่อ Milk Music ซึ่งให้บริการเฉพาะกับผู้ใช้อุปกรณ์ตระกูล Galaxy เท่านั้น (เบื้องต้นรองรับ S5, S4, S III, Note 3, Note II)
Milk Music ใช้ระบบวิทยุออนไลน์ของ Slacker Radio (แต่ซัมซุงนำมาปรับปรุงโดยเชื่อมกับบริการของตัวเอง เช่น Samsung Account) มีสถานีเพลงกว่า 200 สถานีให้เลือกฟัง มีเพลงให้เลือกมากกว่า 13 ล้านเพลง ที่สำคัญคือไม่มีโฆษณาใดๆ
ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าบริการนี้จะออกมานอกอเมริกาหรือไม่ (แต่ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวว่าซัมซุงกำลังเจรจากับบริการเพลงออนไลน์อีกค่ายคือ Deezer อยู่เหมือนกัน)
สตีฟ จ็อบส์ เคยพูดเอาไว้ว่าแอปเปิลยังมอง Apple TV เป็นแค่ "ของเล่น/งานอดิเรก" (hobby) แต่สภาพการณ์ล่าสุดดูเหมือนว่ามันจะกลายเป็นของเล่นที่คู่แข่งยังต้องอิจฉา
ข้อมูลล่าสุดในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี ทิม คุก ระบุว่าแอปเปิลมีรายได้จาก Apple TV ในปีงบประมาณล่าสุด (2013) มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์แล้ว อย่างไรก็ตาม รายได้นี้ไม่ได้มาจากฮาร์ดแวร์เพียงอย่างเดียว แต่นับรวมยอดขายของเนื้อหาดิจิทัลผ่าน Apple TV ด้วย
รอบนี้ ทิม คุก ไม่ได้บอกยอดขาย Apple TV เป็นจำนวนเครื่อง แต่ข้อมูลที่เขาเคยพูดไว้ในเมื่อกลางปี 2013 คือยอดขายสะสมทั้งหมด 13 ล้านเครื่อง (คู่แข่งอย่าง Roku มียอดขายสะสมที่ 8 ล้านเครื่อง)