เมื่อตลาดเน็ตบุ๊กเฟื่องฟู อินเทลเลยมุ่งเป้ามาพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อสนับสนุนการขายฮาร์ดแวร์อย่างจริงจัง
โครงการ Moblin เป็นการสร้างระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์ขนาดเล็ก อย่าง MID หรือเน็ตบุ๊ก โดยอิงฐานบนลินุกซ์เป็นหลัก สำหรับ Moblin รุ่น 2.0 นี้พัฒนามาจาก Fedora แต่ก็ดัดแปลงเพิ่มเติมเข้าไปอีกเยอะ เช่น [Linux Connection Manager](Linux Connection Manager), โปรแกรมตารางนัด Pimlico ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท OpenedHand ที่โดนอินเทลซื้อกิจการไปแล้ว
เอเอ็มดีนั้นประกาศชัดถึงแนวทางการแยกบริษัทมาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยเตรียมตั้งบริษัทที่ชื่อว่า The Foundry Co. โดยร่วมทุนกับ Abu Dhabi และ Metadata Development และเตรียมการจะปิดข้อตกลงในภายในเดือนหน้า
แต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทางอินเทลก็ตั้งโต๊ะแถลงข่าวอีกครั้งว่าบริษัทไม่ได้ต้องการขัดขวางการแยกตัวของเอเอ็มดีในครั้งนี้แต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตี ยังมีความกังวลกันอยู่ว่าสัญญาถึงสิทธิการใช้เทคโนโลยีของอินเทลที่เอเอ็มดีถือครองอยู่นั้นจะมีผลเพียงใดต่อ The Foundry Co.
เอเอ็มดีและอินเทลนั้นมีปัญหาในข้อกฏหมายกันมานานแล้ว โดยเอเอ็มดีระบุว่าอินเทลนั้นบีบทางไม่ให้เอเอ็มดีเข้าไปมีส่วนแบ่งในบางตลาดได้
Gizmodo มีสัมภาษณ์ Craig Barrett ซีอีโอของอินเทล
ไม่ได้พิมพ์ผิด หรืออ่านผิดหรอกครับ เพราะการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่สี่ปี 2008 ของอินเทลแถลงยอดกำไรสุทธิเป็นเงิน 234 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับ 2.27 พันล้านดอลลาร์ในปี 2007
อย่างไรก็ตาม รายงานผลประกอบการนี้ยังมียาหอมให้นักลงทุนด้วยการคาดการรายได้ไตรมาสแรกว่าน่าจะอยู่ที่ 7 พันล้านดอลลาร์ และตัวเลขกำไรน่าจะกลับมาเป็นปรกติภายในปลายปีนี้
ตลาดหุ้นไม่หวั่นไหวเท่าใหร่นัก โดยราคาหุ้นหลังแถลงการนี้ขึ้นไปอีก 1.6% และมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากนั้นเพียงเล็กน้อย
ที่มา - CNN
อินเทล (Intel) ผู้สนับสนุนรายใหญ่ที่สุดของเทคโนโลยีไวแมกซ์ ยังคงยืนยันที่จะให้การสนับสนุนเทคโนโลยีไร้สายนี้อยู่ต่อไปแม้ว่ากระแสความนิยมและการเติบโตของ โมบายล์ บรอดแบนด์ จะมาแรง พร้อมๆกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น
เครก บาเร็ตต์ ประธานบริษัท อินเทล เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทกำลังเร่งออกแบบชิพที่มีฟังก์ชั่นของไวแมกซ์ฝังอยู่ และได้ลงทุนราว 1.6 พันล้านเหรียญ (ประมาณ 56 พันล้านบาท) กับบริษัท Clearwire ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรายแรกของสหรัฐที่เปิดใช้โครงข่ายไวแมกซ์
เขากล่าวด้วยว่า คงไม่มีประโยชน์หากจะนำไวแมกซ์ไปเปรียบเทียบกับแอลทีอี (LTE) เนื่องจากกว่า LTE จะเกิดในตลาดได้ คงต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2 ปี
Classmate PC เป็นคู่แข่งของ OLPC จากอินเทล (ส่วนหนึ่งก็เพราะ OLPC ใช้ซีพียูจากเอเอ็มดี) แต่เอาไปเอามากลับแพร่หลายกว่า (ถ้านับตามจำนวนประเทศ เพราะส่วนมากซื้อยกล็อต) เพราะอินเทลมีการบริหารจัดการที่ดีกว่าโครงการ OLPC มาก ตัวอย่างประเทศที่ใช้ก็อย่างเช่น บราซิล อินโดนีเซีย เวียดนาม เป็นต้น
ในงาน CES 2009 ทางอินเทลได้เปิดตัว Classmate PC รุ่นสอง ซึ่งอินเทลเรียกว่า convertible คือพับฝามาด้านหน้าทำเป็น tablet pc ได้ด้วย (รุ่นฝาพับปกติเรียก clamshell) มีสเปกดังนี้
AMD ได้ปล่อยซีพียู 45nm Phenom II ออกมาแล้ว แต่หลังจากที่ The Tech Report ได้นำมาทดสอบด้วย Benchmark ต่าง ๆ แล้วพบว่าความสามารถทั้งหลายนั้นใกล้เคียงกับชิปของอินเทลมาก
หากเทียบ 2.8GHz และ 3GHz Phenom II ก็พอจะเทียบกับ Core 2 Quad จากอินเทลรุ่นที่ราคาเท่า ๆ กันได้เลย แต่ทั้งหมดก็ยังตามหลังอินเทล Core i7 อยู่ดี
ที่มา - Slashdot
จากงาน CES 2009 อินเทลได้เริ่มพูดถึงสถานะของ SuperSpeed USB หรือ USB 3.0 และพูดถึงความเร็วของมันว่ามันเร็วขนาดไหน
สำหรับตัว SuperSpeed USB นั้นจะมีความเร็วที่เพิ่มขึ้นอีกมากถึง 10 เท่าจาก USB 2.0 หากเทียบความเร็วในการย้ายไฟล์หนัง HD ขนาด 25GB จะใช้เวลาเพียงแค่ 70 วินาทีจากปัจจุบันบน USB 2.0 ที่ใช้เวลาประมาณ 14 นาที
ย้ายไฟลหนัง HD ขนาด 25GB:
ที่มา - C|net
ข่าวสดๆร้อนๆ และ(น่า)จะร้อนไปถึงอินเทลและลุงสตีฟ จ็อบส์ด้วย เรื่องก็มีอยู่ว่า นายแมทธิว โรเบิร์ต ยัง ได้ยื่นฟ้องศาลสหรัฐฯ โดยนายยังอ้างว่า นายจ็อบส์ได้ขโมยผลงานของนายยังไปให้บริษัทอินเทลโดยไม่ได้รับอนุญาตจากตน ซึ่งนายยังอ้างว่า ผลงานชิ้นนั้นก็คือต้นแบบของ Intel Core-2 Duo และเทคโนโลยี virtualization ที่อินเทลกำลังขายในท้องตลาด และนายยังได้เรียกร้องค่าเสียหายจากอินเทลและจ็อบส์เป็นเงินถึง 5 พันล้านเหรียญ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อินเทลได้ร่วมมือกับรัฐบาลไต้หวันเปิดศูนย์สำหรับพัฒนา Moblin ระบบปฏิบัติการสำหรับ Netbook และ MID ของอินเทลที่พึ่งเปิดตัวไปในงาน IDF 2008 Taipei (ข่าวเก่า) เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว
สาเหตุของการร่วมมือครั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบันในไต้หวันมีบริษัทที่กำลังพัฒนา และพัฒนา Netbook ออกมาแล้วกว่า 12 บริษัท ซึ่งอินเทลคาดว่าการเปิดให้บริษัทเหล่านี้เข้ามาช่วยทดสอบ และพัฒนาแอพพลิเคชันสำหรับ Moblin จะทำให้ระบบปฏิบัติการตัวนี้เข้ากันได้กับ Netbook ของบริษัทต่างๆ มากขึ้น ส่วนทางรัฐบาลไต้หวันเองก็หวังว่าการเปิดศูนย์นี้ จะทำให้ไต้หวันได้เป็นศูนย์กลางของโลกในการพัฒนาคอมพิวเตอร์พกพา
อินเทลทำการเปิดตัวชิป Quad-core ต้นทุนต่ำ (low cost) สำหรับคอมพิวเตอร์พกพา และได้เพิ่มชิปใหม่ ๆ ให้กับครอบครัวตระกูล Core 2 Duo อีกด้วยจากใบราคาที่ส่งให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ที่ระบุวันที่ 28 ธันวาคมไว้
โดยเอเซอร์เป็นหนึ่งในผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายแรก ๆ ที่ได้นำหน่วยประมวลผล Quad-core ตัวนี้มาใช้ โดยเครื่องโน้ตบุคเอเซอร์ Aspire 8930G-7665 ที่ดีไซน์พิเศษสำหรับการเล่นเกมได้ใช้ Intel Core 2 Quad Mobile Q9000 ที่ความเร็ว 2.53GHz โดยมาพร้อกับจอภาพขนาด 18.4 นิ้วและ GeForce 9700M GT วางขายที่ราคา 1,799 ดอลลาร์สหรัฐ
Alan Cox หรือ ac เป็นนักพัฒนาเคอร์เนลลินุกซ์หมายเลขสอง (รองจาก Linus เพียงคนเดียว) ถ้าใครติดตามการพัฒนาเคอร์เนลมาบ้างอาจจะทราบว่า มันจะมีเคอร์เนลที่เลขเวอร์ชันลงท้ายด้วย -ac ต่อจากเลขปกติ (เช่น 2.6.11-ac1) ซึ่งหมายถึงเคอร์เนลเวอร์ชันพิเศษที่ดูแลโดย Alan Cox และมีฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ยังไม่เข้าเคอร์เนลรุ่นเสถียรออกมาให้ทดสอบกัน (ตอนนี้ Alan Cox ลดบทบาทตัวเองลงไป คนดูแลแทนคือ Andrew Morton ใช้รหัส -mm)
อดีตประธานบริษัทอินเทล แอนดี้ โกรฟ หนึ่งในคนที่สนับสนุนรถยนตร์ไฮบริดมาตลอด ตอนนี้รับหน้าที่เป็นผู้ให้คำแนะนำแก่บริษัทอินเทล ได้พยายามผลักดันพอล โอเทลลินี ซีอีโอของบริษัทให้ไปทำตลาดอื่นๆ นอกเหนือจากปัจจุบัน สิ่งที่โกรฟแนะนำโอเทลลินีคือทำแบตเตอรี่สำหรับรถยนตร์พลังงานไฟฟ้า เหตุผลสองข้อหลักก็คือ
กำหนดการใช้เทคโนโลยี 32 นาโนเมตรสำหรับชิปในตระกูล Atom ถูกเปิดออกมาแล้วในชื่อชิป Medfield ที่จะวางตลาดในครึ่งปีหลังปี 2010
อย่างที่รู้กันว่าในตอนนี้ชิป Atom ของอินเทลนั้นมีอยู่สองสายด้วยกันคือ Silverthorne ที่ตั้งใจออกแบบมาเพื่อ MID และ Diamondville ที่ออกแบบมาสำหรับ Netbook โดยทั้งสองตัวนั้นผลิตด้วยเทคโนโลยี 45 นาโนเมตรทั้งคู่ แม้แต่ Pineview เองที่กำลังจะวางตลาดในปีหน้า
เทคโนโลยี 32 นาโนเมตรของอินเทลนั้นน่าจะเริ่มใช้งานจริงในปลายปีหน้า กับซีพียูที่มีชื่อรหัสว่า Westmere หรือ Nehalem-C
โดยทั่วไปแล้ว เทคโนโลยีที่เล็กลงมักจะหมายถึงความเร็วที่เพิ่มขึ้น และการใช้พลังงานที่ดีขึ้นไปด้วย
อินเทล (Intel) ผู้ผลิตชิพคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของโลกกำลังพัฒนาอุปกรณ์ขนาดเล็กที่สามารถดักจับพลังงานที่อยู่รอบตัวมัน
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ อีโค-เทค (eco-tech products) ของอินเทล ประกอบด้วย อุปกรณ์เซนเซอร์ขนาดชิพที่สามารถตรวจจับคุณภาพอากาศได้ขณะที่นำไปติดตั้งในกล่องเล็กๆบนตัวกวาดถนน และเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งสามารถทำการประจุไฟฟ้าให้กับตัวเองใหม่ได้ (rechargeable) ด้วยพลังงานที่เก็บได้จากสิ่งแวดล้อม
ทั้งๆที่คดีของ Psystar ยังไม่จบก็มีเ้จ้าใหม่ขยับเข้ามาถล่มค่ายผลไม้ไม่เต็มลูกด้วย OpeniMac จากประเทศอาเจนติน่า ทำนองเดียวกับ Psystar ที่ใช้ฮาร์ดแวร์ทั่วไปตามท้องตลาดและใช้ OS X เป็นระบบปฏิบัติการ ทำให้เครื่องทำออกมาขายแรงกว่าของของ Apple เปิดตัวอย่างไม่กลัวเกรง เริ่มต้นที่ 2.53GHz ราคา $990 (หรือ $1,330 ถ้าซื้อพร้อมจอ LG 19 นิ้ว), ชุดมาตรฐานติดตั้งหน่วยความจำหลัก 2GB , ฮาร์ดดิสก์ 320GB , ATI Radeon HD PRO 256MB. แต่ถ้านั่นยังไม่พอก็ยังมี OpeniMacPRO ที่พร้อมจะรองรับความต้องการของคุณด้วย 3.0GHz พร้อมจอ 20 นิ้ว กับ หน่วยความจำหลักอีก 2GB
คราวนี้ไม่ทราบว่า Apple จะสงสัยอีกไหมว่าใครอยู่เบื้องหลัง
แล้วจะมีบริษัทไหนในไทยร่วมวงแทะแอปเปิ้ลไหมครับ
อินเทล (Intel) เปิดตัวนิตยสารนำเสนอข้อมูลด้านคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ในชื่อ Intel Visual Adrenaline โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์
เนื้อหาจะครอบคุลมเรื่องการใช้ multi-threading และ code optimization ในการเรนเดอร์ภาพกราฟิกส์ในเกมและโปรแกรม และข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องมือและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการพัฒนา
นิตยสาร Intel Visual Adrenaline เปิดให้ดาวน์โหลดฟรีในรูปแบบ PDF และออกเผยแพร่เป็นรายไตรมาส (3 เดือน)
ที่มา - Intel Software Dispatch ผ่าน Develop
ถึงแม้ว่าอินเทลจะเป็นผู้ผลักดันตลาด netbook คนสำคัญ และยอดขายอันร้อนแรงในขณะนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำเร็จ แต่ตอนนี้มันอาจไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว
Stu Pann รองประธานฝ่ายขายและการตลาดของอินเทล ยกประเด็นนี้ในงานประชุมด้าน supply chain ว่าอินเทลกำลังปรับ "มุมมอง" ของบริษัทต่อตลาด netbook โดยมันจะต่างไปจากเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา
ซีพียูที่ร้อนแรงที่สุดในปีนี้คงต้องยกให้ Intel Atom ที่เปิดตลาด netbook อย่างรุนแรง แต่ถ้าคนอยู่ในวงการวิจัยหรือกระทั่งคนที่ต้องดูแลเซิร์ฟเวอร์จำนวนมากๆ แล้วคงแอบหวังที่จะเอา Atom ไปใช้ในเซิร์ฟเวอร์กันอยู่ เพราะการปล่อยความร้อนที่ตำเอาเสียเหลือเกิน และเจ้าแรกที่เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์รุ่นต่อไปด้วยแนวคิดนี้จริงๆ ก็คือ SGI ที่เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ขนาด 3U ที่อัดซีพียู Atom ไว้ถึง 180 ตัว
ชื่อรหัสของโครงการนี้คือ Project Molecule (เอาอะตอมมาเรียงกันต้องเป็นโมเลกุลสิ) โดยทำเมนบอร์ดแบบพิเศษที่มีขนาดเล็กมาก แล้วใส่กล่องเป็นบล็อกเรียงกันไป
วันนี้ตอนบ่าย (18 พ.ย.) ทางอินเทลประเทศไทยได้จัดงานเปิดตัว Core i7 ซึ่งเป็นซีพียูรุ่นใหม่ของอินเทล (ถัดจากตระกูล Core 2 จะมองว่ามันเป็น Core 3 ก็พอได้ครับ) ที่เซ็นทรัลเวิลด์ พลาซ่า ผมได้รับเชิญไปงานนี้ด้วยในฐานะสื่อมวลชน ตัวแทน Blognone เลยเก็บบรรยากาศมาฝากกันนิดหน่อยครับ
รายละเอียดของ Core i7 หรือตามชื่อสถาปัตยกรรมย่อยคือ Nehalem นั้นผมเชื่อว่าผู้อ่าน Blognone คงรู้กันอยู่พอสมควรแล้ว และบางคนคงเคยไปเห็นของจริงในงาน Intel Blogger Day 2008 มาบ้างแล้วด้วย ดังนั้นขอสรุปรายละเอียดแบบคร่าวๆ เลยละกัน
งานนี้เปิดตัวซีพียูชุด Core i7 ทั้งหมดสามรุ่น
อินเทลเปิดตัวชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ภายใต้ผลิตภัณฑ์ Intel Compiler Professional Editions ซึ่งรวมเอาคอมไพเลอร์ชุดใหม่อย่าง C++ Compiler 11.0 และ Fortran Compiler 11.0 พร้อมด้วยไลบรารีสำหรับการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อการประมวลผลสมรรถนะสูง ได้แก่ Math Kernel Library 10.1, Threading Building Blocks 2.1 และ Integrated Performance Primitives 6.0 โดยคอมไพล์เลอร์และไลบรารีชุดนี้สนับสนุนสถาปัตยกรรมโปรเซสเซอร์ทั้งแบบ 32 และ 64 บิต และระบบปฏิบัติการ Linux, Windows, และ Mac OS
แม้ว่าชาว Blognone จะได้ไปเห็น Core i7 ตัวจริงกันมาแล้ว แต่เรื่องน่าคาญใจสำหรับหลายๆ คนคงเป็นเรื่องที่ไม่มี Benchmark ให้ดูเลยแม้แต่ตัวเดียว ทำให้ไม่รู้ว่าที่ว่าแรงๆ นี่มันแรงกว่าเดิมแค่ไหน
แต่ผลจากนิตยสาร PC World ประจำเดือนพฤศจิกายนก็หลุดออกมาแล้ว และผลที่ได้ก็นับว่าน่าประทับใจพอสมควร โดย Core i7 ทุกตัวมีประสิทธิภาพเหนือกว่า หรืออย่างน้อยๆ ก็เท่ากันกับ Core 2 Extreme QX9770 ซึ่งเป็นรุ่นสูงสุดในตอนนี้
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือความเร็วของหน่วยความจำที่สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้มากถึง 12 กิกะไบต์ต่อวินาที และมี latency เพียง 34.3 นาโนวินาที เป็นผลมาจากการรวมชุดควบคุมหน่วยความจำเข้าไปไว้ในตัวชิปเลย
ตอนนี้น่าจะเป็นตอนจบของซีรี่ย์ IDF 2008 Taipei ล่ะครับ ส่วนสุดท้ายนี้เป็นช่วงที่ผมลงไปเดินในส่วนนิทรรศการที่มีพันธมิตรจำนวนมากมาร่วมออกบูต ที่เด่นๆ คงมีเรื่องของ USB 3.0, Wireless USB, และ MID (อีกแล้ว)
ความจริงแล้วผมจะเขียนข่าวนี้ในรายงานสรุปตอนที่สอง แต่พอมาเช็คข่าววันนี้แล้วปรากฏว่าคนพูดกันเรื่องนี้เยอะมาก ในฐานะที่ไปนั่งฟังมากับตัวเลยเอามาเล่าให้ฟังกันแบบอินไซด์กว่าเว็บอื่น
เรื่องที่ต้องยอมรับในตอนนี้คือ MID ที่อินเทลพยายามผลักดันแบบสุดตัวนั้นกำลังจะไปทับตลาดกับ Smartphone ทั้ง iPhone และ Android อย่างช่วยไม่ได้ คำถามว่าอะไรเป็นจุดเด่นของ MID เหนือกว่าโทรศัพท์เหล่านั้น คำตอบที่ได้คือ "full Internet experience"