สายการบิน Qantas (อ่านว่า ควาน-ทาซ) ของออสเตรเลียกับ Tesla Motors Australia ร่วมกันโปรโมตบริษัททั้งสองไปพร้อมกัน ด้วยการจัดการแข่งขันระหว่างเครื่องบิน Boeing 737-800 และรถยนต์ Tesla Model S P90D ณ สนามบิน Avalon ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เป็นการแข่งทางตรง ระยะทางร่วม 3 กิโลเมตร
ฝั่งเครื่องบิน Boeing 737 มีน้ำหนักตัวราว 70,000 กิโลกรัม, แรงขับ 52,000 ปอนด์, ความเร็วสูงสุด 850 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วน Tesla Model S P90D มีน้ำหนักราว 2,196 กิโลกรัม, แรงบิด 966 นิวตันเมตร, กำลัง 532 แรงม้า, ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยฝั่งเครื่องบิน 737 ขับโดยกัปตัน Steve Gist และ Kevin Tonge และฝั่ง Model S ขับโดยนักแข่งรถ Tony d’Alberto
Tesla Motors เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ Model 3 ได้เพียงไม่กี่วัน ยอดขายก็ถล่มทลาย
Elon Musk ออกมาโพสต์ข้อมูลผ่านทวิตเตอร์ว่าขายได้ 180,000 คันใน 24 ชั่วโมงแรก ถ้าคูณด้วยราคาเฉลี่ยคันละ 42,000 ดอลลาร์ (รวมอุปกรณ์เสริมต่างๆ แล้ว) เท่ากับว่า Tesla ทำยอดขายได้ 7.5 พันล้านดอลลาร์ภายในวันเดียว
ส่วนตัวเลขล่าสุดที่ Musk ออกมาทวีตคือ 253,000 คัน หรือยอดขายเกิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์แล้ว เขายังทวีตบอกว่ายอดขายเยอะขนาดนี้ ส่งผลให้ต้องวางแผนการผลิตกันใหม่เลยทีเดียว (ก่อนหน้านี้ Tesla บอกว่าจะส่งมอบรถได้ช่วงปลายปี 2017 แต่ผลงานจากรถรุ่นก่อนๆ พบว่าล่าช้ากว่ากำหนดทุกรุ่น)
เมื่อวานนี้ Tesla Motors ได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเล็ก Tesla Model 3 เป็นที่เรียบร้อย ที่ดีไซน์สตูดิโอของ Tesla ณ เมือง Hawthorne รัฐแคลิฟอร์เนีย รายละเอียดหลักๆ เกี่ยวกับตัวรถอ่านได้จากข่าวเก่า แต่ในงานยังได้เปิดเผยข้อมูลอื่นๆ อีกบางส่วน ผมจึงรวบรวมมาอีกทีนะครับ
Tesla จัดงานเปิดตัว Model 3 โดยบนเวทีคุณ Musk เริ่มต้นพูดถึงปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง และมลภาวะ ก่อนกล่าวถึงแผนการของบริษัท ตั้งแต่การเปิดตัว Roadster ว่าเป็นการแสดงศักยภาพของรถยนต์ไฟฟ้า สู่ Model S ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่คนทั่วไปสัมผัสได้ มาถึง Model X โดยนำเงินจากการขายรุ่นก่อนหน้ามาพัฒนารุ่นถัดมาในราคาที่ย่อมเยาลง และในวันนี้ Model 3 เป็นรุ่นที่บริษัทหวังจะช่วยเปลี่ยนผ่านระบบขนส่งสู่ความยั่งยืนในอนาคต
ASUS เปิดตัว A.C.T. หัวแปลงสำหรับสายชาร์จของรถ Tesla ให้สามารถต่อเข้ากับช่อง Micro USB และด้วย A.C.T. นี้จะทำให้ผู้ใช้สามารถเติมพลังงานให้แก่รถ Tesla ได้โดยตรงด้วยแบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟน Zenfone Max
ASUS บอกว่าด้วยการชาร์จไฟจาก Zenfone Max เป็นเวลา 3 ชั่วโมง รถไฟฟ้าจะได้พลังงานเพียงพอสำหรับการวิ่งต่อไปได้อีก 2 ชั่วโมง ทั้งนี้ ASUS ระบุว่าหัวแปลง A.C.T. นั้นสามารถใช้งานเชื่อมต่อกับสายชาร์จของรถยนต์พลังงานไฟฟ้ายี่ห้ออื่นด้วยเช่นกัน
ล่าสุด ASUS ปิดรับการจอง A.C.T. ไปแล้วเนื่องจากคำสั่งซื้อที่มากจนไม่สามารถผลิตได้ทันความต้องการของลูกค้า
ที่มา - @Asus
หากยังจำกันได้ วันนี้เป็นวันเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 ซึ่งเป็นรุ่นเล็กสุดของ Tesla ขณะนี้เหลือเวลาอีกราว 1 ชั่วโมงก่อนจะเริ่มงาน โดย Elon Musk ซีอีโอของบริษัทได้ทวีตเปิดเผยข้อมูลใหม่เกี่ยวกับประเทศที่จะวางจำหน่ายรถยนต์เพิ่มเติม
เขาบอกว่า Tesla Model 3 จะวางจำหน่ายเพิ่มใน 7 ประเทศ คือ อินเดีย, บราซิล, แอฟริกาใต้, เกาหลีใต้, นิวซีแลนด์, สิงคโปร์ และไอร์แลนด์ หลังจากทวีตออกไป ก็มีผู้ใช้ทวีตถามกลับไปว่าจะมีสถานี Supercharger ที่นิวซีแลนด์ไหม (สถานีชาร์จไฟฟรีตลอดชีพ) ซึ่ง Musk ก็ตอบว่าจะมีทั่วประเทศ นอกจากนี้ก็มีผู้ใช้อีกคนถามว่าแล้วจะมีรุ่น Model X มาด้วยหรือไม่ Musk ก็ตอบว่าจะมีมาทั้ง Model S และ X เลย
ถึงแม้ว่างานเปิดตัวยังไม่เริ่ม และแทบจะไม่มีข้อมูลอะไรเปิดเผยออกมาเลยก็ตาม ก็มีผู้คนแห่ไปต่อคิวจองรถรุ่นใหม่นี้ที่โชว์รูม Tesla หลายแห่งแล้วเมื่อหลายชั่วโมงก่อน โดยบัญชีทวิตเตอร์อย่างเป็นทางการของ Tesla Motors ได้โพสต์คลิปวิดีโอสั้นๆ โชว์บรรยากาศการต่อคิวด้วยครับ
งานเปิดตัวจะเริ่มเวลา 20:30 น. ตามเวลาของรัฐแคลิฟอร์เนีย หรือ 10:30 น. วันนี้ตามเวลาประเทศไทย สามารถดูถ่ายทอดสดได้ที่ Tesla.com
ที่มา - @elonmusk
เมื่อได้ชื่อว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่ายี่ห้อไหนต่างก็โฆษณาว่าไม่มีการปล่อยมลภาวะแม้แต่นิดเดียว (zero-emission vehicle) และรถยนต์ก็ไม่มีท่อไอเสียอีกด้วย แต่ผู้ใช้รถยนต์ Tesla Model S ในสิงคโปร์กลับโดนเรียกเก็บค่าปรับข้อหาปล่อยมลภาวะเยอะเกินไป
หน่วยงานที่เรียกเก็บค่าปรับคือกรมการขนส่งทางบกของสิงคโปร์ (Land Transport Authority หรือ LTA) โดยจะเก็บค่าปรับผู้ใช้รถที่ปล่อยมลภาวะสูงเกิน โดยจากการคำนวณของ LTA รถยนต์ Tesla Model S ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 222 กรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งจัดว่าสูงมาก ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ BMW 530d เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ราว 144 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น
Elon Musk ซีอีโอของ Tesla Motors เคยบอกไว้หลายเดือนแล้วว่า Tesla Model 3 รถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นใหม่ของบริษัทจะเปิดตัวในเดือนมีนาคม ขณะนี้ Tesla เริ่มส่งคำเชิญแขกเข้าร่วมงานแล้ว
งานเปิดตัวจะมีขึ้นวันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคมนี้ โดย Tesla คัดเลือกแขกเข้าร่วมงานเป็นรายคน ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของรถ Tesla และคนในวงการ ในคำเชิญไม่ได้บอกสถานที่ที่แน่ชัด โดยบอกเพียงแค่ว่าอยู่ทางใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย (แถวนั้นก็มีลอสแองเจลิสที่เป็นเมืองใหญ่) นอกจากนี้วันและเวลาก็ยังไม่บอกเช่นกัน
Tesla Motors ผู้ผลิตรถยนต์ซูเปอร์คาร์ไฟฟ้าล้วนอย่าง Model S และ Model X ออกมาประกาศว่าพวกเขาได้เป็นเจ้าของโดเมน Tesla.com แล้ว หลังจากรอมาถึง 10 ปี
เจ้าของเดิมของโดเมน Tesla.com เป็นวิศวกรที่ทำงานอยู่ใน Silicon Valley ชื่อ Stu Grossman เขาจดทะเบียนโดเมนนี้ในปี 1992 เนื่องจากความชื่นชอบในตัวนักประดิษฐ์ Nikola Tesla อย่างมาก แต่ก็ไม่เคยใช้งานหรือโพสต์เนื้อหาใดๆ ขึ้นไปบนเว็บเลย
อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า Grossman ขายโดเมนนี้ให้ Tesla Motors หรือไม่ โดยทนายส่วนตัวของ Grossman บอกว่า Tesla Motors ได้ติดต่อขอเป็นเจ้าของโดเมนนี้มาเป็นสิบปีแล้ว
Radio Flyer ผู้ผลิตรถลากคันแดงสำหรับเด็กชื่อดังจากสหรัฐอเมริกาที่คนไทยอาจไม่ค่อยคุ้นมากนัก แต่อาจเห็นในภาพยนตร์อยู่บ่อยๆ ได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model S สำหรับเด็กที่ขับได้จริง
รถคันนี้มาพร้อมกับไฟหน้าที่ใช้งานได้จริง, ช่องเก็บของใต้ฝากระโปรงหน้าเหมือนของจริง มีแม้กระทั่งช่องสัญญาณเสียงเข้า (AUX) พร้อมลำโพงใช้งานได้จริง โดยสามารถทำความเร็วได้สูงสุด 6 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือเกือบ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ลูกค้ายังสามารถเลือกสีรถที่ตรงกับสีจริงๆ ของ Model S ได้ด้วย เช่นสีน้ำเงินเข้มเมทัลลิค, สีเทาเมทัลลิค ไปจนถึงสีแดงแบบมัลติโค๊ต
นาย Stewart Alsop โพสต์บล็อกมากมายลงบน Medium วิจารณ์เกี่ยวกับบริการแย่ๆ ของหลายบริษัท แต่โพสต์เมื่อเดือนกันยายนที่เขาโจมตี Elon Musk ให้ออกมาขอโทษที่ทำให้เขาต้องรอนานหลายชั่วโมง แถมยังไม่เสิร์ฟอาหารในงานเปิดตัวรถยนต์ SUV ไฟฟ้าล้วน Tesla Model X โพสต์นั้นทำให้เขาโดนแบนจาก Tesla ไม่ขายรถยนต์ให้เขาแม้ว่าจะวางเงินมัดจำไปแล้ว $5,000 ก็ตาม โดยในโพสต์ล่าสุดก็พูดถึงกรณีที่เขาเคยวิจารณ์ CEO BMW ก็ไม่เห็นเอารถยนต์คืนเลย แถมแขวะอีกว่านี่คงหมายความว่าเขาคงไม่มีสิทธิ์จะซื้อยาน SpaceX Dragon
ต่อเนื่องจากข่าว Tesla ออกซอฟต์แวร์อัพเดต 7.1 Elon Musk ซีอีโอของ Tesla Motors ได้ทวีตเกี่ยวกับฟีเจอร์ใหม่เพิ่มเติม ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเห็นกันบ่อยๆ จากภาพยนตร์สายลับหลายเรื่อง
เขาพูดถึงฟีเจอร์ Summon หรือแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า "เรียกมา" ที่ขณะนี้สามารถสั่งให้รถยนต์เข้าและออกจากโรงจอดเองได้ ว่าภายใน 2 ปี เจ้าของรถจะสามารถเรียกรถให้ขับมาหาจากที่ไหนก็ได้ เช่นรถอยู่ที่นครนิวยอร์ก แต่เจ้าของอยู่ลอสแองเจลิส (ห่างกันราว 4,500 ก.ม.) ก็เรียกให้รถขับมาหาเองได้
Tesla Motors ยังคงออกอัพเดตเพิ่มฟีเจอร์ให้รถยนต์ของตนอย่างต่อเนื่อง หลังจากครั้งสุดท้ายปล่อยอัพเดตใหญ่ 7.0 ไปเมื่อเดือนตุลาคม โดยอัพเดตครั้งนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์เข้าและออกจากโรงจอดรถอัตโนมัติ รวมถึงปรับปรุงและจำกัดการใช้งาน Autopilot บางส่วน
สำหรับฟีเจอร์การเข้าและออกจากโรงจอดรถอัตโนมัติ หรือที่ Tesla เรียกว่า Summon สามารถอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้เวลาต้องการเข้าออกโรงจอดที่แคบและอาจขึ้นลงจากรถไม่สะดวก วิธีการใช้งานคือให้จอดรถให้ตรงกับประตูโรงรถ จากนั้นให้กดปุ่มกลางของกุญแจรถ ไฟฉุกเฉินจะกะพริบ สุดท้ายให้กดปุ่มเปิดกระโปรงหน้าเพื่อบังคับให้รถเดินหน้าเข้าโรงรถ ฟีเจอร์นี้ยังสามารถเปิดและปิดประตูโรงรถได้เองด้วย โดยประตูโรงรถต้องรองรับระบบ HomeLink ด้วย
Tesla Motors เพิ่งปล่อยอัพเดตฟีเจอร์ Autopilot ให้รถยนต์ไฟฟ้า Model S เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นก้าวแรกสู่การที่รถยนต์ Tesla จะขับอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบ ล่าสุด Elon Musk ซีอีโอของบริษัทได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับอนาคตของฟีเจอร์นี้แล้ว
“ผมคิดว่าพวกเรามีทุกอย่างที่ต้องการแล้ว หลังจากนี้ก็เหลือแค่การเอาสิ่งต่างๆ มารวมเข้าด้วยกัน และทำให้แน่ใจว่ามันจะทำงานได้ในสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย” Musk กล่าว อย่างไรก็ตาม เขายังไม่เปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดไปมากกว่านี้ แต่บอกว่า “สุดท้ายเราจะมีรถยนต์ที่ขับอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบ และผมคิดว่าเราจะทำสำเร็จภายใน 2 ปี”
แอปเปิลและ Tesla มีประเด็นความขัดแย้งกันอยู่เนืองๆ ตั้งแต่เรื่องแย่งตัวพนักงาน ไปจนถึงข่าวลือที่ว่าแอปเปิลจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกขาย อีกทั้งซีอีโอและอดีตซีอีโอของทั้งสองบริษัทก็ถูกยกย่องว่าเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล จึงช่วยไม่ได้หากจะถูกนำมาเปรียบเทียบกันอยู่เสมอ
Tesla Model S ถือเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่น่าปรารถนา แต่ด้วยเป้าหมายการผลิตถึง 5 หมื่นคันต่อปีก็หมายความว่าต้องผลิตขยะออกมามากด้วยเช่นกัน Elom Musk ซีอีโอของ Tesla จึงคิดค้นว่าจะทำอย่างไรกับขยะเหล่านี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือหนังที่เหลือจากการหุ้มเบาะ จึงเกิดไอเดียนำมาทำเป็นเคส iPhone
สำหรับเคส iPhone ที่ Tesla ทำสำหรับ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus (เข้าใจว่าน่าจะใช้กับ iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ได้ด้วย) ทำมาจากหนังซึ่งมีอยู่สองรุ่นคือรุ่นธรรมดาราคา 45 ดอลลาร์ และรุ่นมีช่องใส่บัตรพร้อมบล็อค RFID ราคา 50 ดอลลาร์ โดยตัวเคสทั้งสองรุ่นเป็นสีดำแปะตรา Tesla
หลังจากปล่อยให้ Tesla เป็นผู้นำด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วนมานาน ขณะนี้ Porsche ผู้ผลิตรถสปอร์ตยักษ์ใหญ่จากประเทศเยอรมนีได้ประกาศจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นใหม่ ในนาม Porsche Mission E มาสู้กับ Tesla แล้ว
Porsche จะลงทุนขยายโรงงานใหม่เพิ่มจากโรงงานเดิมที่ Zuffenhausen เมือง Stuttgart ประเทศเยอรมนี ด้วยเงินราว 1.09 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะจ้างงานเพิ่มถึง 1,000 ตำแหน่งเพื่อผลิตรถยนต์รุ่นดังกล่าว โดยมันถูกเปิดตัวในงาน Frankfurt Motor Show เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และจะเริ่มเปิดขายภายในสิ้นปี 2020
หลังจากมีการประกาศแผนผังของงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 32 หรือ Motor Expo 2015 ไปก่อนหน้านี้ ก็มีกระแสฮือฮาว่าจะมีรถยนต์ Tesla มาออกบูธด้วย แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะถึงวันแรกของงาน กลับมีการยืนยันจากผู้นำเข้าว่าบริษัทไม่สามารถมาเข้าร่วมงานได้อีกต่อไป
นางสาวนวมลลิ์ ฐิติวรทัต (เฟ) กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทสลา ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ในประเทศไทย ได้โพสต์บนหน้า Facebook ของตน ยืนยันว่าไม่สามารถมาเข้าร่วมงานได้ ดังนี้
เมื่อเร็วๆ นี้มีรายงานเกี่ยวกับข้อบกพร่องของเข็มขัดนิรภัยใน Tesla Model S โดย Tesla ได้ตรวจพบว่าเข็มขัดนิรภัยในรถยนต์รุ่นดังกล่าวเพียง 1 คันในยุโรปถูกติดตั้งมาไม่ถูกต้อง ซึ่งจุดที่มีปัญหาคือตรงจุดยึดเข็มขัดแบบรั้งกลับบริเวณตัก (lap pretensioner belt ดูรูปด้านล่าง)
Tesla ระบุว่าไม่ได้เกิดอุบัติเหตุหรือมีใครบาดเจ็บจากรถยนต์คันดังกล่าว แต่อย่างไรก็ต้องเรียกคืนรถยนต์ราว 90,000 คันกลับมาตรวจสอบบริเวณที่มีปัญหา โดยขณะนี้ได้ตรวจสอบไปแล้วกว่า 3,000 คันและยังไม่พบปัญหาใดๆ
Tesla ยังบอกว่าหากลูกค้าคนไหนต้องการตรวจสอบเบื้องต้นด้วยตนเองก็สามารถทำได้ โดยการดึงเข็มขัดในส่วนที่อยู่ตรงตักด้วยแรงอย่างน้อย 80 ปอนด์ แต่บริษัทก็ยังแนะนำให้นำรถเข้าตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญอยู่ดี
ทุกๆ ปีที่นิวยอร์กจะมีการจัดงาน Baron Investment Conference โดย Ronald Baron มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทจัดการลงทุน Baron Capital โดยไฮไลท์ของงานเป็นการเชิญซีอีโอดังๆ มาพูดในงาน พร้อมกับมีคอนเสิร์ตจากศิลปินดังๆ มากมาย
งานประชุมปีนี้ได้เชิญ Elon Musk ซีอีโอของบริษัท Tesla Motors เข้าร่วมงานและพูดคุยตอบคำถามกับ Ronald Baron โดยตรง ซึ่ง Musk พูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกของเขาในเรื่องภาวะโลกร้อน และประเด็นสำคัญเกี่ยวกับยุคแรกๆ ของ Tesla ที่ไม่ราบรื่นนัก
แม้ขณะนี้ Musk จะมั่นใจในอนาคตของบริษัทฯ แต่ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่เขาเข้ามารับตำแหน่งซีอีโอในปี 2008 เขาบอกว่าตอนนั้นไม่คิดเลยว่า Tesla จะประสบความสำเร็จ “ตอนนั้นผมคิดว่าเราจะล้มเหลวแน่นอน” เขากล่าว “พวกเราตัดสินใจผิดเกือบทั้งหมด”
Tesla Motors เป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าล้วนนำทัพโดยซีอีโอ Elon Musk ที่ออกตัวมาตั้งแต่ต้นว่า "จะเปลี่ยนแปลงวงการรถยนต์" เราได้เห็นความรุ่งเรืองมากมายหลังจากบริษัทฯ เปิดตัว Tesla Model S ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ซึ่งภายหลังก็ออกเวอร์ชันอัพเกรดมอเตอร์คู่ในชื่อรุ่น P85 D และเฟิร์มแวร์ใหม่มาพร้อมโหมด "Ludicrous" (โหมดบ้าบิ่น) เพื่อความแรงเทียบชั้น supercar ได้
อย่างไรก็ตาม Bob Lutz อดีตผู้บริหาร GM กลับให้สัมภาษณ์ว่า Tesla กำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่ง โดย Lutz เคยเป็นผู้บริหารระดับสูงในบริษัทรถยนต์หลายแห่ง เช่น BMW, Ford, Chrysler และก่อนเกษียณเขาดำรงตำแหน่งรองประธานของ GM
เพิ่งจะมีข่าวการทำลายสถิติขับ Tesla Model S แบบ Autopilot ข้ามทวีปอเมริกาไปไม่ถึงวัน ล่าสุดมีเหตุการณ์ระทึกขวัญที่เกิดจากการไว้ใจรถยนต์มากเกินไปแล้วครับ
เว็บไซต์ Ars Technica โพสต์คลิปวิดีโอที่ผู้ใช้รถรายหนึ่งถ่ายไว้ระหว่างการขับขี่ด้วยโหมด Autopilot แต่จู่ๆ รถก็หักเลี้ยวซ้ายกระทันหันจนเกือบเข้าไปชนกับรถที่สวนมา ยังดีที่เขาหักพวงมาลัยนำรถกลับเข้ามาในเลนตัวเองได้ทัน
Tesla Motors เพิ่งปล่อยซอฟต์แวร์อัพเดตเวอร์ชัน 7 ให้กับรถยนต์ Tesla Model S เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเป็นการอัพเดตครั้งใหญ่ที่สุด ซึ่งเพิ่มฟีเจอร์ Autopilot เข้ามา ให้รถยนต์ใช้เซ็นเซอร์ต่างๆ ที่มีและขับเองได้ (ขณะนี้มีวิดีโอสาธิตฟีเจอร์นี้มากมายบนยูทูบ หากสนใจลองค้นว่า Tesla Autopilot ดูได้)
ถึงแม้ทางนิตยสาร Consumer Reports จะให้คะแนนสมรรถนะของ Tesla Model S รุ่นใหม่ไปแบบทะลุชาร์ทก็ตาม แต่ Model S กลับสอบตกในเรื่องความน่าเชื่อถือของตัวรถ
กล่าวคือทาง Consumer Reports ไม่กล้ารับประกันได้ว่าตัว Tesla Model S จะไม่มีปัญหาในส่วนต่างๆ ภายในระยะเวลา 2 ปีแรกหลังการซื้อ โดยทางนิตยสารได้สำรวจความเห็นของผู้ใช้รุ่น Model S กว่า 1,400 คนที่ส่วนใหญ่บ่นไปในทางเดียวกันว่า Model S ส่วนใหญ่มักมีปัญหาที่ระบบขับเคลื่อนและส่งกำลัง (Drivetrain) อุปกรณ์ที่จ่ายไฟ (Power Equipment) อุปกรณ์ชาร์จไฟ (Charging Equipment) หลังคาซันรูฟที่มักส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด เสียงแปลกๆ ภายในตัวรถ (rattles) และการรั่วตามจุดต่างๆ
Elon Musk ประกาศทาง Twitter ของเขาว่าซอฟต์แวร์รุ่นที่ 7 สำหรับรถรุ่น Tesla S จะปล่อยสู่สาธารณะในวันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคมนี้
ซอฟต์แวร์รุ่นที่ 7 จะเพิ่มความสามารถขับรถแบบ Autopilot แต่ว่าเป็นระบบอัตโนมัติเพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่ใช่ระบบขับรถอัตโนมัติทั้งคันแบบสมบูรณ์เสียทีเดียว คุณสมบัติที่สามารถทำได้ คือ จอดรถเข้าช่องคู่ขนาน (parallel parking) อัตโนมัติ, เปลี่ยนเลนอัตโนมัติเมื่อผู้ขับขี่เปิดไฟเลี้ยว เป็นต้น
ตัวระบบ Autopilot ของ Tesla เริ่มต้นเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่ง Elon Musk กล่าวว่า รถของ Tesla รุ่นปัจจุบันทุกคันติดตั้งระบบเซ็นเซอร์ที่จำเป็นสำหรับการขับรถแบบอัตโนมัติ แต่ยังมีข้อจำกัดทางเทคโนโลยีที่ยังไม่พร้อมใช้กับการจราจรที่ซับช้อนอย่างเช่นการขับรถในเมืองได้