เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา Elon Musk ได้ทวีตสร้างกระแสว่าจะใช้รถยนต์ Tesla Roadster ของเขาเป็นสัมภาระ (payload) ที่จะยิงขึ้นไปพร้อมกับ Falcon Heavy จรวดรุ่นใหม่ของ SpaceX ที่กำลังจะทดสอบยิงเป็นครั้งแรก
ล่าสุด Elon ได้โพสต์รูปจำนวนหนึ่งลงบัญชีอินสตาแกรมของเขา ยืนยันว่าเอาจริงแน่ เป็นภาพรถยนต์ Tesla Roadster สีแดงถูกติดตั้งเข้ากับ payload fairing หรือส่วนที่ปกติจะเอาไว้ใช้ติดตั้งสัมภาระของจริง (เช่น ดาวเทียม) โดย Elon ระบุว่าปกติแล้วการทดสอบยิงจรวดจะใช้ "dummy payload" หรือสัมภาระปลอมๆ เช่นแท่งคอนกรีตหรือก้อนโลหะ แต่เขาเห็นว่ามันน่าเบื่อเกินไปเลยใช้รถ Tesla Roadster รุ่นแรกของตัวเองซะเลย
จุดขายหนึ่งของ Tesla คือการสร้างสถานี Supercharger ตามเมืองที่มีการขายรถ และยังขยายจุดชาร์จนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกกับผู้ใช้ แม้เมื่อต้นปีจะมีประเด็นยกเลิกชาร์จไฟฟรีตลอดชีพสำหรับผู้ซื้อรถใหม่ แต่ดูเหมือนการใช้งาน Supercharger ก็ยังคงสูง จนต้องประกาศกฎข้อใหม่เพิ่มเข้ามา
บริษัทเจ้าใหญ่ๆ เริ่มแสดงความสนใจใช้งานรถบรรทุก Tesla Semi มากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดเป็น PepsiCo เจ้าของแบรนด์น้ำอัดลม Pepsi Cola และขนมขบเคี้ยว Frito-Lay ที่ยืนยันกับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่าได้สั่งซื้อ Tesla Semi มากถึง 100 คัน
Mike O'Connell ผู้บริหารระดับสูงฝ่าย Supply Chain ประจำภูมิภาคอเมริกาเหนือระบุว่า PepsiCo มีรถบรรทุกใช้งานอยู่กว่า 10,000 คัน และขณะนี้กำลังวิเคราะห์อยู่ว่าจะนำ Tesla Semi มาวิ่งในเส้นทางไหนดี โดยเบื้องต้นเห็นความเป็นไปได้ที่จะนำมาวิ่งขนส่งขนมเบาๆ หรือส่งเครื่องดื่มหนักๆ แต่ระยะทางสั้นๆ
การพัฒนาชิพสำหรับประมวลผล AI นั้นถือเป็นสิ่งที่หลายบริษัทในปัจจุบันเริ่มหันมาสนใจทำกัน เพื่อประสิทธิภาพในการประมวลผลงานเฉพาะของตัวเอง Tesla ก็ด้วยเช่นกัน โดยสำนักข่าวทั้ง The Register และ CNBC รายงานว่าซีอีโอ Elon Musk นั้นเตรียมการพูดคุยถึงการพัฒนาชิพ AI ใช้ในบริษัทเองในงาน NIPS ซึ่งเป็นงานสัมมนาด้าน machine learning
Musk กล่าวในงานไว้อย่างชัดเจนว่า “ผมต้องการพูดให้ชัดเจนว่า Tesla นั้นจริงจังกับ AI ทั้งฝั่งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ เรากำลังพัฒนาชิพ AI แบบเฉพาะทาง”
ถือว่า Elon Musk เป็นเจ้าพ่อแห่งการสร้างกระแสจริงๆ เพราะเดือนหน้า SpaceX จะทดสอบยิง Falcon Heavy จรวดรุ่นใหม่ที่ทรงพลังมากที่สุดนับตั้งแต่ยุคจรวด Saturn V โดย Elon เคยโพสต์รูป Instagram ชักชวนคนให้มาร่วมสังเกตการณ์การปล่อยจรวดดังกล่าว และรับประกันว่าจะน่าตื่นเต้นแน่นอน
ต้องถือว่ากระแสตอบรับดีทีเดียวสำหรับรถบรรทุก Tesla Semi ที่เพิ่งเปิดตัวได้เพียง 2 สัปดาห์แต่ก็มีบริษัทหลายแห่งให้ความสนใจและสั่งซื้อกันแล้ว ล่าสุด DHL ยักษ์ใหญ่วงการโลจิสติกส์จากเยอรมนีได้ยืนยันแล้วว่าพวกเขาได้สั่งซื้อ Tesla Semi แล้ว 10 คัน
Jim Monkmeyer ประธานฝ่ายการขนส่งประจำภูมิภาคอเมริกาเหนือได้ยืนยันการสั่งซื้อดังกล่าว โดยระบุว่า DHL Supply Chain จะนำ Tesla Semi มาใช้วิ่งขนพัสดุสำหรับการส่งแบบ same-day ในเมืองใหญ่ๆ ของสหรัฐอเมริกา และมีแผนจะทดสอบรถบรรทุกพลังไฟฟ้าในระยะยาวว่ามีผลต่อความปลอดภัยและความสบายของคนขับอย่างไรบ้าง
สองสัปดาห์ก่อน Tesla ได้จัดงานเปิดตัว Tesla Semi รถบรรทุกพลังไฟฟ้า พร้อมเปิดให้วางเงินมัดจำเป็นเงินจำนวน 5,000 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อจองรถรุ่นดังกล่าว แต่ยังไม่ได้เปิดเผยราคาเต็มออกมา
ล่าสุด Tesla ได้เผยตัวเลขที่ "คาดว่า" จะขายในราคานี้ (แปลว่าอาจหรืออาจจะไม่ขายในราคานี้ แต่บอกเป็นแนวเฉยๆ) โดยเปิดมาที่ 150,000 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับรุ่นที่วิ่งได้ไกล 300 ไมล์ (ราว 4.9 ล้านบาท) และ 180,000 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับรุ่นที่วิ่งได้ 500 ไมล์ (ราว 5.88 ล้านบาท) นอกจากนี้ยังมีรถรุ่น Founders Series ที่ราคา 200,000 ดอลลาร์สหรัฐด้วย (ราว 6.53 ล้านบาท)
ที่งานเปิดตัว Tesla Semi รถบรรทุกพลังไฟฟ้าเมื่อสองอาทิตย์ก่อน เราได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับมันในระดับหนึ่ง ล่าสุด Jerome Guillen รองประธานฝ่ายรถบรรทุกของ Tesla ได้ไปพูดที่งานประชุม Transport and Logistics ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ และได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้
หากยังจำกันได้ รัฐ South Australia ประเทศออสเตรเลียประสบปัญหาไฟดับบ่อยจนประชาชนเอือมระอา และแสดงความสนใจใช้แบตเตอรี่ Tesla Powerwall กันอย่างล้นหลาม มหาเศรษฐีชาวออสเตรเลีย Mike Cannon-Brookes ก็ได้ท้าพนันไปยัง Elon Musk ซึ่งเขาได้รับคำท้าว่าจะติดตั้งฟาร์มแบตเตอรี่ขนาด 100 เมกะวัตต์ชั่วโมงให้ภายใน 100 วัน หากทำไม่ได้จะให้ฟรีไปเลย
ล่าสุดฟาร์มแบตเตอรี่ดังกล่าวสร้างเสร็จแล้ว โดยเมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา Elon Musk ได้เดินทางไปเปิดโปรเจ็คนี้อย่างเป็นทางการ และเริ่มนับวันจากวันนั้น ซึ่ง Elon ประกาศว่าจะสร้างเสร็จวันที่ 1 ธันวาคม อย่างไรก็ตามการก่อสร้างจริงๆ ได้เริ่มมาก่อนหน้านั้นประมาณครึ่งทางแล้ว แต่ก็ถือว่าทำได้ตามสัญญา
สามารถเรียกเสียงฮือฮาและสร้างกระแสได้ค่อนข้างมาก สำหรับการเปิดตัว Tesla Semi และ Tesla Roadster รุ่นใหม่ อย่างไรก็ตามด้วยความที่กว่าจะรถทั้ง 2 รุ่นเข้าสู่สายพานการผลิตก็ในอีก 2 และ 3 ปีตามลำดับ ทำให้มีการคาดกันว่า Musk อาจต้องการสร้างกระแสเพื่อหวังระดมทุนรอบใหม่
เนื่องจากปัจจุบัน Tesla กำลังเผชิญกับปัญหาการเผาเงินเฉลี่ยชั่วโมงละ 480,000 เหรียญสหรัฐและด้วยอัตรานี้ เงินสดจะหมดมือภายใน 8 สิงหาคมปีหน้า ขณะที่ช่องทางในการหาเงินหลักของ Tesla ในตอนนี้อย่าง Model 3 ก็กำลังประสบปัญหาคอขวดในการผลิต นักวิเคราะห์จึงมองว่า Tesla ควรกลับมาให้ความสนใจกับ Model 3 มากกว่านี้
คล้อยหลังมาไม่ถึงสัปดาห์หลัง Tesla เปิดตัวรถบรรทุกไฟฟ้า Tesla Semi ขณะนี้บริษัทด้านโลจิสติกส์ในทวีปอเมริกาเหนือเริ่มสั่งซื้อรถบรรทุกดังกล่าวกันแล้ว
Walmart ร้านค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาได้ยืนยันว่าพวกเขาได้สั่ง Tesla Semi ไปแล้วถึง 15 คันด้วยกัน โดยระบุว่า Semi จะช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายด้านการลดมลพิษลงได้ ในขณะที่บริษัทขนส่ง J.B. Hunt ก็ยืนยันแล้วว่ามีแผนจะสั่งซื้อเช่นกัน
ข้ามมาที่แคนาดา Loblaws ซุปเปอร์มาร์เก็ตเชนรายใหญ่ ก็ประกาศซื้อ Semi แล้วถึง 25 คัน และบอกว่าจะซื้อเพิ่มอีกในอนาคต
ในงานเดียวกับการเปิดตัว Tesla Semi และ Tesla Roadster 2.0 Tesla Motors ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์อีกตัวแบบเงียบๆ เป็นแบตเตอรี่สำรองในชื่อ Powerbank
ตัว Powerbank มีพอร์ทมาให้ทั้ง micro USB สำหรับแอนดรอยด์และ Lightning สำหรับ iOS โดยรูปทรงเหมือนกับสถานี Supercharger สำหรับชาร์จรถยนต์ โดยแบตเตอรี่ของ Powerbank เป็นรุ่น 18650 (รุ่นเดียวกับที่ใช้บน Model S และ Model X) เซลล์เดียว ความจุ 3,350 mAh และปล่อยไฟสูงสุด 5V/1.5A ราคา 45 ดอลลาร์
ที่มา - Tesla
วันนี้ที่งาน Tesla ณ เมือง Hawthorne รัฐแคลิฟอร์เนีย นอกจากจะเปิดตัวรถบรรทุกไฟฟ้า Tesla Semi แล้ว ท้ายงานหลัง Elon Musk โบกมือลาคนดู ยังมีเซอร์ไพรซ์ส่งท้ายด้วยการเปิดตัว Tesla Roadster รุ่นใหม่ ซึ่งถือเป็นรุ่นที่ 2 หลังรุ่นแรกเป็นตัวสร้างชื่อให้ Tesla ตั้งแต่เปิดบริษัท
Tesla Roadster รุ่นใหม่นี้จัดเต็มด้านสมรรถนะ มันมาพร้อมมอเตอร์ 3 ตัว (หลัง 2 ตัว หน้า 1 ตัว) ส่งผลให้เร่งจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ภายใน 1.9 วินาที ความเร็วสูงสุดมากกว่า 400 กม./ชม. ติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 200 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำให้วิ่งได้ไกล 1,000 กม. ที่ความเร็วไฮเวย์ (แต่ละรัฐไม่เท่ากัน เฉลี่ยไม่เกิน 120 กม./ชม.)
เป็นกระแสกันมานาน กับ Tesla Semi รถบรรทุกพลังไฟฟ้า ซึ่งล่าสุด Tesla ได้จัดงานเปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
Elon Musk ซีอีโอของ Tesla กล่าวบนเวทีว่าเฉพาะส่วนหัวของ Tesla Semi สามารถเร่งจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (96.5 กม.) ได้ภายใน 5 วินาที และหากลากจูงด้วยน้ำหนักเต็มที่ก็ยังใช้เวลาเพียง 20 วินาที โดยพละกำลังทั้งหมดมาจากมอเตอร์ 4 ตัว นอกจากนี้ Elon ยังบอกว่า Semi มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ (Drag coefficient - Cd) ต่ำเพียง 0.36 ในขณะที่รถซูเปอร์คาร์อย่าง Bugatti Chiron มีค่า Cd ที่ 0.38
Tesla เปิดตัวสถานี Supercharger ใหม่ในแคลิฟอร์เนีย ที่เมือง Kettleman City โดยเป็น Supercharger ที่ใหญ่ที่สุดของ Tesla มีช่องชาร์จทั้งหมด 40 ช่อง จุดสำคัญของสถานีใหม่นี้คือมี “เลานจ์” สำหรับให้ผู้ใช้รอชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์
เลานจ์ของ Tesla Supercharger มีอาหารและเครื่องดื่มทำสดไว้ให้บริการ รวมถึงห้องน้ำ, ที่นั่งพัก, Wi-Fi ฟรี, พื้นที่กลางแจ้ง, พื้นที่สำหรับเด็ก, สัตว์เลี้ยง และร้านค้า โดยเลานจ์นี้เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงทุกวัน สามารถเข้าใช้งานได้โดยการรับโค้ดจากหน้าจอบนรถยนต์ Tesla
พนักงานคนหนึ่งส่งสำนวนฟ้องร้องบริษัท Tesla เรื่องเหยียดสีผิวในที่ทำงานโดยเฉพาะในส่วนงานการผลิต โดยอ้างว่ามีพนักงานที่ได้รับประสบการณ์ถูกกระทำแบบเหยียดผิวกว่าร้อยราย
เนื้อหาในสำนวนส่งฟ้องระบุว่าในแผนกการผลิตเป็นแหล่งเพาะเชื้อของการเหยียดผิว และแม้ Tesla จะเป็นผู้นำด้านการค้นพบสิ่งใหม่ในโลกเทคโนโลยี แต่กระบวนการผลิตยังมาจากผู้ที่มีแนวคิดเหยียดเชื้อชาติแบบยุคเก่าอยู่
Tesla ประกาศเข้าซื้อกิจการ Perbix บริษัทจากรัฐมินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งให้บริการออกแบบและผลิตระบบ automation ในโรงงาน นับเป็นครั้งที่ 2 ที่ Tesla เข้าซื้อกิจการบริษัทเกี่ยวกับระบบ automation (ครั้งแรกคือ Grohmann Engineering) อย่างไรก็ตาม Tesla ไม่ได้เปิดเผยมูลค่าของดีลครั้งนี้ บอกเพียงว่าไม่กระทบกับสถานะการเงินของบริษัท
Tesla แถลงว่า "Perbix เป็นซัพพลายเออร์ให้พวกเรามาเกือบ 3 ปีแล้ว และได้ช่วยทำโปรเจ็คด้าน automation ที่มีความซับซ้อนสูงได้อย่างดีเยี่ยม และบริษัทฯ จะขยายตัวรวมถึงจ้างงานมากขึ้นในพื้นที่ Twin Cities (บริเวณเมือง Minneapolis และ Saint Paul) เพื่อสร้างเครื่องจักรที่สร้างเครื่องจักรอีกที" โดยวลี "เครื่องจักรที่สร้างเครื่องจักร" คือการอ้างถึงคำพูดของ Elon Musk ซีอีโอ Tesla ที่มองว่าโรงงานทั้งโรงก็คือเครื่องจักรเครื่องหนึ่ง และสิ่งที่มันสร้างออกมาก็คือรถยนต์นั่นเอง
Tesla รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2017 ขาดทุน 671.4 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการขาดทุนมากที่สุดในไตรมาสเดียวของบริษัท โดยมีรายได้รวม 2,984.7 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน
ในจดหมายรายงานกับนักลงทุน Tesla บอกว่ารถยนต์คันลำดับที่ 250,000 ได้ถูกส่งมอบในไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการผ่านด่านสำคัญเพราะเมื่อ 5 ปีที่แล้ว บริษัทได้ส่งมอบรถคันที่ 2,500 ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป บริษัทก็ผลิตรถส่งมอบได้มากขึ้นถึง 100 เท่า
ปลายเดือนที่แล้ว Elon Musk ออกมายอมรับว่าโรงงาน Gigafactory 1 ประสบปัญหาคอขวดในการผลิตแบตเตอรี่สำหรับ Model 3 ล่าสุด Kazuhiro Tsuga ซีอีโอพานาโซนิค พาร์ทเนอร์ที่ช่วยแบตเตอรี่ให้ Tesla ออกมายอมรับแล้วว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาคอขวดดังกล่าว
ซีอีโอพานาโซนิคระบุว่าปัญหาคือความล่าช้าในการผลิต เนื่องจากกระบวนการผลิตส่วนหนึ่งยังไม่ใช้เครื่องจักร ซึ่งทางบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการนำเครื่องจักรมาใช้เพิ่มเติม และยืนยันว่าการผลิต Tesla Model 3 จะกลับมาเร็วมากขึ้น
หลัง Tesla เคยออกมายอมรับว่ากำลังเจรจากับทางการจีน เรื่องการตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในเซี่ยงไฮ้ ล่าสุด WSJ รายงานอ้างอิงแหล่งข่าวใกล้ชิดกับเรื่องนี้ว่า Tesla บรรลุข้อตกลงกับทางการจีน สามารถตั้งโรงงานในเขตการค้าเสรีของเซี่ยงไฮ้ได้แล้ว
การตั้งโรงงานครั้งนี้ Tesla จะเป็นเจ้าโรงงานเอง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บริษัทรถยนต์ต่างชาติได้รับอภิสิทธิ์แบบนี้ จากที่ก่อนหน้านี้โปรเจ็คลักษณะนี้บริษัทรถยนต์จะต้องร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่นเท่านั้น ขณะที่การตั้งโรงงานในจีนจะช่วยลดต้นทุนการผลิตของ Tesla ลงไปได้มาก แต่ถึงกระนั้น Tesla ก็น่าจะยังคงต้องจ่ายภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% อยู่ดี
สัปดาห์ก่อนมีข่าวออกมาว่า Tesla ปลดพนักงานออกจำนวนมากถึง 700 คน ซึ่งคิดเป็น 1-2% ของพนักงานทั้งหมด โดยในตอนแรกโฆษกของ Tesla ระบุว่าสาเหตุที่ปลดเพราะพนักงานกลุ่มดังกล่าวมีคะแนนประเมินการทำงานต่ำกว่าเกณฑ์ แต่ล่าสุดมีคนกลุ่มหนึ่งไม่เปิดเผยชื่อ อ้างว่าเป็นอดีตพนักงานของ Tesla ที่ถูกไล่ออกได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้กับ CNBC
อดีตพนักงานคนหนึ่งบอกว่าแท้จริงแล้วจำนวนคนที่ถูกไล่ออกมีมากกว่า 700 คนเสียอีก และส่วนใหญ่เป็นพนักงานที่อยู่แผนกรถยนต์ ไม่ใช่จากแผนกพลังงานที่ดูแลสินค้าเช่น Tesla Powerwall โดยการไล่ออกครั้งใหญ่นี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา และดำเนินการมาเรื่อยๆ ซึ่งพนักงานบางคนก็ได้รับเงินชดเชยอย่างรวดเร็ว แต่บางคนก็ยังรออยู่
ปัญหาหัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามี "มาตรฐาน" หลายแบบก็เป็นอีกประเด็นที่สร้างความลำบากในการใช้งานไม่น้อย เพราะผู้ผลิตแต่ละรายต่างก็ออกหัวชาร์จของตนเอง (รวมถึง Tesla เช่นกัน) และจนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีหัวชาร์จมาตรฐานเดียวทั่วโลก
Tesla จึงต้องแก้ปัญหาที่ปลายเหตุไปก่อน โดยการเปิดตัวรถยนต์ Tesla Model S และ X แบบที่มีพอร์ตชาร์จไฟคู่ รองรับสองมาตรฐานซึ่งเริ่มที่ประเทศจีนก่อน ซึ่งรองรับทั้งหัวชาร์จของ Tesla เอง และหัวชาร์จที่รัฐบาลจีนเป็นผู้พัฒนาในชื่อ "GB"
ก่อนหน้านี้พอร์ตชาร์จไฟของรถยนต์ Tesla ถูกวางไว้ตรงมุมของไฟท้ายด้านซ้ายของรถ (หากดูเผินๆ จะมองไม่เห็น) แต่หลังปรับดีไซน์มาเป็นแบบพอร์ตชาร์จคู่จึงต้องย้ายมาไว้บริเวณด้านข้างตัวถัง เหมือนฝาถังน้ำมันรถยนต์ทั่วไป
มีรายงานว่า Tesla ได้ปลดพนักงานราว 400-700 คน ซึ่งมีทั้งวิศวกร, ผู้จัดการ และผู้ปฏิบัติงานในโรงงาน โดยโฆษกของ Tesla ยืนยันข่าวนี้ โดยบอกว่าไม่ใช่การปลดออกเนื่องจากบริษัทมีปัญหา แต่เนื่องจากบริษัทมีพนักงานอยู่กว่า 33,000 คน ฉะนั้นการประเมินผลการทำงานก็อาจส่งผลให้พนักงานบางคนถูกให้ออก
Tesla ยังบอกว่าจะมีการจ้างพนักงานใหม่จำนวนมากเพื่อมาทดแทนตำแหน่งที่ว่างนี้ด้วย
ประเด็นสำคัญก็คือ Tesla เองยังประสบปัญหาไม่สามารถผลิตรถยนต์ได้ทันกับคำสั่งซื้อจำนวนมาก โดยเฉพาะ Model 3 ที่มีคำสั่งซื้อเฉลี่ย 1,800 คันต่อวัน ขณะที่ไตรมาสที่ผ่านมาผลิตไปได้ 260 คันเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ Elon Musk ซีอีโอ Tesla เคยประกาศไว้ว่า 26 ตุลาคมนี้จะเปิดตัวรถบรรทุกไฟฟ้า Tesla Semi แต่ล่าสุด Tesla ได้เลื่อนงานเปิดตัวออกไปเป็น 16 พฤศจิกายน โดยให้เหตุผลว่า Model 3 นั้นกำลังประสบปัญหาคอขวดในการผลิต และการช่วยเหลือใน Puerto Rico
สำหรับปัญหาของ Tesla Model 3 นั้นมีปัญหาคอขวดในการผลิตมาก (Musk ใช้คำว่า “deep in production hell”) ซึ่งในช่วงไตรมาสที่สามที่ผ่านมา สามารถผลิตได้เพียง 260 คันเท่านั้น ซึ่งยังห่างไกลจากเป้าหมายที่ 1,500 คัน
Tesla รายงานตัวเลขการผลิตประจำไตรมาสที่ 3/2017 โดยถือเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดเท่าที่มีมาสำหรับ Model S และ Model X โดย Model S ส่งมอบได้ 14,065 คัน ส่วน Model X ส่งมอบ 11,865 คัน ทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมายสิ้นปีนี้ ที่สองรุ่นรวมกันจะส่งมอบได้ 1 แสนคัน
อย่างไรก็ตามตัวเลขสำหรับ Model 3 นั้นไม่ค่อยดีนัก โดยส่งมอบไปได้ 220 คัน และผลิตออกมาได้ 260 คัน ซึ่งมาจากเกิดปัญหาคอขวดในสายการผลิต ซึ่ง Tesla เน้นย้ำว่าไม่ใช่ปัญหาเชิงพื้นฐาน หรือปัญหาซัพพลายเชน โดยบริษัททราบสาเหตุแล้ว และมั่นใจจะแก้ไขได้