หลังประสบความสำเร็จจากการเป็นพาร์ทเนอร์ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ให้กับ Tesla Motors ประกอบกับความต้องการจะเข้าไปทำธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ Kazuhiro Tsuga ซีอีโอของพานาโซนิตให้สัมภาษณ์กับ Reuters ว่าสนใจจะขยายความเป็นพาร์ทเนอร์กับ Tesla ด้านฮาร์ดแวร์มากขึ้น อย่างเซ็นเซอร์ เป็นต้น
ซีอีโอพานาโซนิคระบุว่า หนึ่งในเทคโนโลยีตรวจจับภาพที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาคือเซ็นเซอร์รับภาพที่เรียกว่า organic photoconductive film CMOS ซึ่งสามารถตรวจจับวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีการบิดเบี้ยว ซึ่งนอกจากเซ็นเซอร์แล้ว ยังมีหน้าจอบนที่นั่งคนขับและระบบนำทางด้วย
หากยังพอจำกันได้ ในช่วงเดือนกรกฎาคมปีนี้แล้ว เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงในรัฐฟลอริด้ากับ Tesla Model S ที่เปิดโหมด Autopilot จนนำมาสู่การตั้งคำถามมากมายถึงความปลอดภัยและน่าเชื่อถือระบบ Autopilot ก่อนที่ หน่วยงานกำกับดูแลความปลอดภัยบนทางหลวงของสหรัฐฯ (National Highway Traffic Safety Administration - NHTSA) จะเข้ามาสอบสวนเรื่องนี้และเพิ่งเปิดเผยรายงานออกมา
หลัง Faraday Future เกทับในงาน CES 2017 ด้วย FF91 ที่ทำความเร็วจาก 0 ถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ภายใน 2.39 วินาทีบนเวที (มีการใช้ Tesla Model S P100D เปรียบเทียบบนเวทีด้วย) ล่าสุด Elon Musk ทวีตแย้มว่าโหมด Ludicrous (โหมดบ้าบิ่น) ใหม่ น่าจะสามารถทำความเร็วเท่ากันภายในระยะเวลา 2.34 วินาทีเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม Musk ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ ระบุแต่เพียงว่าโหมด Ludicrous ใหม่ที่เริ่มปล่อยอัพเดต OTA ไปให้ลูกค้าบ้างแล้วนั้น น่าจะสามารถทำความเร็ว 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง ภายใน 2.34 วินาทีได้ อย่างน้อยๆ ภายใต้การทดสอบของ Motor Trend
เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา Tesla ประกาศว่าผู้ที่ซื้อรถยนต์ใหม่จะไม่ได้รับสิทธิ์ชาร์จไฟฟรีไม่อั้นจากเครือข่าย Supercharger ตลอดชีพแล้ว แต่จะให้เครดิตชาร์จไฟฟรีปีละ 400 กิโลวัตต์ชั่วโมงแทน ล่าสุด Tesla ได้ให้ข้อมูลเรื่องนี้เพิ่มแล้ว
Tesla บอกว่าหนึ่งในสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญมากที่สุดคือการขยายเครือข่ายสถานี Supercharger เพื่อสร้างความมั่นใจให้ทั้งลูกค้าเดิม และผู้สนใจใช้รถยนต์ไฟฟ้าว่าจะสามารถเดินทางไกลได้เหมือนรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน อย่างไรก็ตาม บริษัทอยากแบ่งเบาภาระค่าตั้งสถานีชาร์จบางส่วน จึงจำเป็นต้องเก็บเงินค่าชาร์จจากลูกค้า โดยผู้ที่จองรถหลังวันที่ 15 มกราคม 2017 (กำหนดการเดิมคือ 1 มกราคม 2017) จะได้รับเครดิตชาร์จไฟฟรีปีละ 400 กิโลวัตต์ชั่วโมง (วิ่งได้ประมาณ 1,600 กิโลเมตร) หากชาร์จเกินกว่านั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
Chris Lattner ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาของ Apple ที่อยู่เบื้องหลังภาษา Swift และ IDE อย่าง Xcode รวมไปถึง complier ต่างๆ ได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะลาออกจากบริษัทสิ้นเดือนนี้
ข้อความที่ปรากฎในอีเมลของ Lattner ที่ส่งในกลุ่มทีมพัฒนา Swift ระบุว่า Ted Kremenek จะเป็นหัวหน้าโปรเจคภาษา Swift คนใหม่และจะเข้ามาบริหารจัดการ Swift.org อีกด้วย โดย Kremenek ตอนนี้มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการอาวุโสฝ่าย Languages และ Runtimes ของ Apple ส่วน Lattner จะยังเข้ามาช่วยพัฒนาภาษา Swift อยู่
นอกจากนี้ Lattner ไม่ได้หวังว่าการลาออกของเค้าจะส่งผลกระทบต่อทีม Swift ที่กำลังพัฒนาเวอร์ชัน 4 แต่อย่างใด เค้าเชื่อว่าการพัฒนาภายใต้การดูแลของ Kremenek จะทำให้เวอร์ชันนี้มีความสมบูรณ์แบบและ Apple เองก็จะเริ่มโฟกัสที่ Swift 4 มากขึ้น หลังจากที่ปล่อยเวอร์ชัน 3.1 มาได้ซักพักแล้ว
ที่มา : MacRumors
ปัจจุบัน Tesla มีโรงงานที่ดำเนินงานเต็มรูปแบบอยู่เพียงแห่งเดียว คือโรงงานที่เมือง Fremont รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่ง Tesla กำลังเร่งสร้างโรงงานเพิ่มอีกโรง ในชื่อ Gigafactory ที่รัฐเนวาดา
โรงงาน Gigafactory นี้มีขนาดใหญ่มหึมา กินพื้นที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ในโลก รองจากโรงงานประกอบเครื่องบินของ Boeing เท่านั้น โดย Tesla จะใช้โรงงานนี้ผลิตทั้งรถยนต์และเซลล์แบตเตอรี่สำหรับสินค้าของตน
Tesla เคยคุยไว้ว่าจำนวนการผลิตเซลล์แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนจาก Gigafactory จะมากกว่าทุกโรงงานในโลกรวมกันเลยทีเดียว ซึ่งล่าสุด Tesla ประกาศว่าขณะนี้ได้เริ่มเดินสายการผลิตเซลล์แบตเตอรี่แล้วแม้โรงงานยังสร้างไม่เสร็จ 100% ก็ตาม
ขณะนี้ Tesla กำลังเร่งสร้างโรงงานแห่งใหม่ในชื่อ Gigafactory ตั้งอยู่ในรัฐเนวาดา ซึ่งบริษัทฯ เปิดเผยว่าหากเดินหน้าผลิตเต็มกำลัง จะสร้างงานถึง 6,500 ตำแหน่งเลยทีเดียว
Tesla ระบุว่าเฉพาะในปี 2017 นี้ บริษัทฯ จะเริ่มจ้างงานหลักหลายพันตำแหน่ง (เนื่องจากเริ่มเดินสายการผลิตเซลล์แบตเตอรี่แล้ว) และหากผลิตเต็มกำลัง จะจ้างพนักงานมากถึง 6,500 ตำแหน่ง อีกทั้งยังสร้างงานทางอ้อมอีกราว 20,000 ถึง 30,000 ตำแหน่ง (งานทางอ้อมก็เช่น ร้านอาหาร, หอพัก หรือร้านขายของต่างๆ โดยรอบโรงงานหรือในพื้นที่ใกล้เคียง)
Ji Chang Son เจ้าของรถ Tesla Model X ชาวเกาหลียื่นฟ้อง Tesla ต่อศาลแขวงแคลิฟอร์เนียว่ารถยนต์เร่งเองและพุ่งชนบ้านของเขา
Son อ้างว่าจู่ๆ รถยนต์ Tesla Model X ของเขาก็เกิดเร่งเต็มที่และพุ่งชนทะลุกำแพงโรงรถเข้าไปในห้องนั่งเล่นบ้านเขา ขณะที่กำลังนำรถเข้าจอด อีกทั้งตัวเขาและผู้โดยสารในรถก็ได้รับบาดเจ็บด้วย
การฟ้องนี้เป็นการยื่นฟ้องแบบกลุ่ม โดยนำข้อมูลจากฐานข้อมูลของ NHTSA (National Highway Traffic Safety Administration) มากล่าวหา Tesla ว่ามีเจ้าของรถคนอื่นอีก 7 คนเคยเจอเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เช่นกัน
Tesla ได้ปล่อยอัพเดตซอฟต์แวร์ครั้งใหญ่ เวอร์ชัน 8.0 ให้ผู้ใช้เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งฟีเจอร์สำคัญอันหนึ่งคือระบบเรดาร์ส่งสัญญาณไปตรวจจับรถข้างหน้าได้ถึง 2 คัน กล่าวคือเรดาร์สามารถมองเห็นได้ทั้งรถคันที่เราตามอยู่ และรถที่อยู่ถัดไปเป็นคันที่ 2 ทำให้สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้หากรถสองคันข้างหน้ากำลังจะชนกัน
ล่าสุด ฟีเจอร์ใหม่ของระบบ Autopilot นี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าสามารถใช้งานได้จริง โดยเป็นเหตุการณ์ที่รถยนต์ Tesla Model X ของ Frank van Hoesel กำลังแล่นอยู่บนทางหลวงในเลนซ้ายสุด และมีรถยนต์อีก 2 คันอยู่ข้างหน้า (ขอเรียกคันที่อยู่ใกล้ Model X ว่า "คันที่ 1" และคันที่อยู่ไกลว่า "คันที่ 2") จู่ๆ รถยนต์คันที่ 1 ก็ตัดสินใจแซงคันที่ 2 ด้วยการหักออกทางขวา แต่คันที่ 2 กลับเบรกจึงแซงไม่พ้น คันที่ 1 จึงชนเข้าที่มุมหลังขวาของคันที่ 2 เต็มๆ
ในจังหวะที่รถคันที่ 1 เปิดไฟเลี้ยวขวาเพื่อจะแซงนั้น ระบบ Autopilot ของ Tesla รู้ทันทีว่าแซงไม่พ้นแน่ จึงส่งเสียงเตือนและเบรกอัตโนมัติเพื่อหลีกเลี่ยงการชน
Supercharger หรือสถานีชาร์จไฟเร่งด่วนของ Tesla นั้นเป็นสถานีที่สามารถชาร์จไฟได้ไวมาก โดยรอเพียง 40 นาทีก็สามารถชาร์จไฟได้ถึง 80% แต่ว่าหลายคนอาจจะคิดว่านานเกินไป
Elon Musk ได้เผยเรื่องสถานีชาร์จไฟใหม่ขึ้นมาเนื่องจากมีคนไปถามถึง Elon Musk ทาง Twitter เกี่ยวกับการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ของ Supercharger โดย Musk ตอบกลับมาว่าต้องใช้งาน Supercharger V3 ซึ่งก็น่าจะหมายถึงว่าตัวสถานีชาร์จไฟรุ่นใหม่ที่กำลังพัฒนาอยู่ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะมาจริง ๆ เมื่อไร
Uber ได้เริ่มให้บริการรถยนต์ Tesla Model S แบบฟลีตในกรุงมาดริด ประเทศสเปนแล้ว โดยเป็นส่วนหนึ่งของบริการพรีเมี่ยม UberONE ที่ใช้ผู้ขับรถที่ชำนาญและได้รับใบอนุญาตการขับรถ รวมถึงมีอินเทอร์เน็ตให้บริการภายในรถยนต์ระหว่างการเดินทาง
Carles Lloret ผู้บริหาร Uber ในยุโรปตอนใต้กล่าวว่า ทางบริษัทหวังว่าการเปิดใช้งานรถยนต์พลังงานสะอาด จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ของบริษัทในเมืองมาดริดซึ่งบริหารโดย Manuela Carmena ซึ่งมีแนวคิดฝ่ายซ้ายและอนุรักษ์ธรรมชาติ
Tesla มีเครือข่ายสถานีชาร์จแรงสูง Supercharger ของตนกระจายอยู่ทั่วโลกในประเทศที่รถยนต์ Tesla วางจำหน่ายอยู่ โดยผู้ใช้ทุกคนชาร์จไฟได้ฟรีเพื่อให้พร้อมสำหรับการเดินทางไกล แต่เมื่อเป็นของสาธารณะก็ย่อมหลีกเลี่ยงพฤติกรรมแย่ๆ ไม่ได้ ปัญหาใหญ่ของสถานี Supercharger คือมีพวกชอบจอดรถแช่ไว้แม้จะชาร์จเต็มแล้วก็ตาม
ล่าสุด Tesla ได้ประกาศเก็บเงินค่าจอด หลังรถรถยนต์คันไหนชาร์จไฟเต็ม 100% และผ่านไป 5 นาทีแล้วยังไม่เลื่อนรถไปจอดที่อื่น จะถูกเก็บเงิน 0.40 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 นาที (ราวนาทีละ 14 บาท) โดย Tesla บอกว่านี่เป็นการเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าโดยรวม และไม่เคยอยากทำเงินจากตรงนี้ อย่างไรก็ตาม หากช่องจอดอื่นในสถานีนั้นยังว่างอยู่หลายช่อง ก็สามารถจอดแช่ได้โดยไม่ถูกเก็บเงินแต่อย่างใด
ที่มา - Tesla
อาจจะไม่เป็นไปตามข่าวก่อนหน้านี้และ Faraday Future สตาร์ทอัพด้านรถยนต์ไฟฟ้าอาจจะสามารถเปิดตัวและผลิตรถยนต์คันแรกทันปีหน้าก็ได้ เมื่อล่าสุดบริษัทออกมาเผยโฉมทีเซอร์แรกของรถยนต์โปรโตไทป์ ด้วยการแข่งกับ Bentley, Ferrari และ Tesla แล้ว
ตัวทีเซอร์มีความยาวเพียง 17 วินาทีเท่านั้น โดยรถยนต์ของ Faraday Future ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าคลุม ทำให้ไม่ได้เห็นตัวรถกันตรงๆ รวมถึงบอกให้ติดตามผลการแข่งครั้งนี้ด้วย ซึ่งคาดว่าการเผยทีเซอร์นี้อาจจะเป็นการใบ้ว่างาน CES ต้นปีหน้า หลังจากที่เคยโชว์เพียงภาพคอนเซ็ปต์เมื่อปีที่แล้ว
นอกจากจะเร่งสร้างโรงงาน Gigafactory 1 เพื่อรองรับการผลิตแบตเตอรี่และรถยนต์จำนวนมาก Tesla ยังค่อยๆ ขยายตลาดไปยังประเทศต่างๆ อยู่เรื่อยๆ ล่าสุดได้ขยายไปยังประเทศสเปนแล้ว
Tesla จะเปิดศูนย์บริการและโชว์รูมที่สองเมืองหลักของประเทศสเปน คือมาดริด และบาร์เซโลนา ซึ่งสเปนเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในยุโรปตะวันตกที่ Tesla ไม่ได้ทำตลาดอยู่ก่อนหน้านี้
ผลิตภัณฑ์ที่จะนำมาขายก็มีครบหมด คือรถยนต์ Tesla Model S และ X, แบตเตอรี่สำหรับบ้าน Tesla Powerpack, กระเบื้องหลังคาผสานโซลาร์เซลล์ Solar Roof รวมถึงยังเปิดให้จอง Model 3 ในราคา 1,000 ยูโร
ขณะนี้ลูกค้าชาวสเปนสามารถสั่งรถทางเว็บไซต์ Tesla ได้เลย และมีกำหนดรับรถเร็วสุดภายในไตรมาสแรกของปี 2017
ตลอดปี 2016 ที่ผ่านมา Tesla ได้เปิดตลาดใหม่ถึง 5 ประเทศ คือเม็กซิโก, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, นิวซีแลนด์ และไอร์แลนด์
ที่มา - Electrek
หนึ่งในปัญหาใหญ่ของพื้นที่ห่างไกลเช่นเกาะ คืออาหารไม่เพียงพอ, อากาศเลวร้าย และพลังงานมีจำกัด โดยเกาะชื่อ Ta'u ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะ American Samoa (อเมริกันซามัว) มีประชากรอาศัยอยู่ราว 600 คน ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ไปทางตะวันออกของประเทศออสเตรเลียราว 4,000 กิโลเมตร ก็ประสบปัญหาเหล่านี้เช่นกัน ล่าสุด SolarCity และ Tesla ได้เข้าไปติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ พร้อม Tesla Powerpack เพื่อให้เกาะนี้มีไฟฟ้าใช้อย่างยั่งยืน
ก่อนหน้านี้เกาะ Ta'u ใช้เครื่องปั่นไฟพลังดีเซล ซึ่งเครื่องปั่นไฟหนึ่งเครื่องใช้น้ำมันวันละราว 1,100 ลิตร หรือ 4.14 แสนลิตรต่อปี โดยต้องขนส่งน้ำมันมาทางเรือ ชาวเกาะชื่อ Keith Ahsoon เล่าว่าเคยมีเหตุการณ์ที่ทำให้เรือมาส่งของไม่ได้นานสองเดือนทำให้ไม่มีไฟฟ้าใช้ และเวลาน้ำมันใกล้หมดก็ต้องช่วยกันประหยัดโดยการใช้ไฟฟ้าแค่ช่วงเช้ากับบ่าย ช่วงกลางคืนก็จุดเทียนแทน ส่วนปั๊มน้ำก็ต้องใช้ไฟฟ้าเพื่อส่งน้ำมาเลี้ยงหมู่บ้าน
Elon Musk กล่าวหลังที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติ Tesla Motors ซื้อกิจการ SolarCity ว่าหลังคาโซลาร์ Solar Roof ที่เพิ่งเปิดตัวไป มีต้นทุนค่าผลิตและค่าติดตั้งถูกกว่าหลังคาแบบปกติทั่วไปซะอีก นี่ยังไม่รวมมูลค่าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ได้มาด้วยซ้ำ เขาบอกว่าด้วยโครงสร้างต้นทุนแบบนี้ ทำให้ไฟฟ้าที่ได้เปรียบเสมือนเป็น "โบนัส" ที่แถมเข้ามา
Musk บอกว่าตอนนี้จุดขายของ Solar Roof คือหลังคาที่ดูดีกว่าหลังคาแบบเดิม อายุยาวกว่าสองเท่า ต้นทุนถูกกว่า และผลิตไฟฟ้าได้ด้วย ลูกค้ายังมีตัวเลือกอื่นอีกหรือ?
ต่อจากข่าว Tesla Motors ยื่นข้อเสนอเข้าซื้อกิจการบริษัท SolarCity ซึ่งเป็นการควบรวมกันเองของบริษัทที่ Elon Musk ก่อตั้ง
ความคืบหน้าล่าสุดคือผู้ถือหุ้นทั้งฝั่ง Tesla Motors และ SolarCity โหวตอนุมัติการซื้อกิจการครั้งนี้แล้ว โดยผู้ถือหุ้น Tesla สัดส่วน 85% โหวตเห็นชอบการซื้อกิจการมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์
Elon Musk อธิบายต่อผู้ถือหุ้นว่าต้องการรวมผลิตภัณฑ์ของทั้งสองบริษัทเข้าด้วยกัน ตั้งแต่หลังคาแสงอาทิตย์ กล่องกักเก็บพลังงาน Powerwall และรถยนต์พลังไฟฟ้า ทุกอย่างสามารถซื้อได้จากร้าน Tesla Store โดยที่ลูกค้าไม่ต้องยุ่งยากเลย
จุดเด่นอย่างหนึ่งที่ Tesla ใช้โฆษณาสินค้าของตนอยู่เสมอคือการชาร์จไฟจากเครือข่ายสถานี Supercharger ฟรีไม่อั้นตลอดชีพ ซึ่งเป็นสถานีชาร์จแรงสูงที่ใช้เวลาชาร์จเพียงครึ่งชั่วโมงก็วิ่งได้ไกลถึง 273 กิโลเมตร ล่าสุด Tesla ประกาศยกเลิกโครงการนี้แล้ว
Tesla โพสต์บนบล็อกของบริษัทฯ ว่าลูกค้าที่ซื้อรถตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2017 เป็นต้นไป จะไม่ได้รับสิทธิ์ชาร์จไฟจากสถานี Supercharger ฟรีไม่อั้นตลอดชีพแล้ว แต่จะได้เครดิตชาร์จฟรีปีละ 400 กิโลวัตต์ชั่วโมงเท่านั้น (คิดเป็นระยะทางเพียง 1,609 กิโลเมตร) หากชาร์จเกินกว่านั้นต้องเสียค่าใช้จ่าย "เล็กน้อย" ซึ่ง Tesla ยืนยันว่ายังถูกกว่าค่าน้ำมันในรถยนต์ระดับเดียวกันแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ลูกค้าปัจจุบันทั้งหมดและลูกค้าที่สั่งซื้อรถก่อนวันที่ 1 มกราคม 2017 ยังได้รับสิทธิ์ชาร์จไฟฟรีตลอดชีพเหมือนเดิม
Tesla ประกาศการเข้าซื้อบริษัท Grohmann Engineering ผู้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตแบตเตอรีและเซลล์เชื้อเพลิงด้วยเครื่องจักร สัญชาติเยอรมัน และเปลี่ยนชื่อเป็น Tesla Grohmann Automation โดย Klaus Grohmann ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Grohmann Engineering จะยังคงทำหน้าที่เดิมต่อไปภายใต้ Tesla Grohman Automation
Tesla ให้เหตุผลของการเข้าซื้อครั้งนี้ว่า ต้องการเพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์ให้ได้ 500,000 คันต่อปีภาย 2018 (ปีนี้อยู่ที่ราว 80,000 คัน) จึงต้องการนำเทคโนโลยีและ know-how ด้านการผลิตด้วยเครื่องจักรของ Grohmann มาเสริม ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มความเร็วและคุณภาพในการผลิต พร้อมลดต้นทุนต่อคันลงด้วย
สองเดือนก่อนมีข่าวลือว่า Tesla ตั้งกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีด้านกระจกในชื่อ Tesla Glass แต่ก็ไม่มีรายละเอียดอะไรมากกว่านั้น ล่าสุดระหว่างที่ Elon Musk ซีอีโอของ Tesla โทรศัพท์คุยกับนักวิเคราะห์ เขาได้ยืนยันแล้วว่า Tesla Glass มีตัวตนอยู่จริง โดยตั้งขึ้นมาในลักษณะกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีด้านกระจกโดยเฉพาะ (glass technology group)
เขาบอกว่า "มันต้องใช้เทคนิคหลายอย่างในการผลิตกระจกสำหรับรถยนต์ โดย Tesla ได้ตั้งกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีด้านกระจกขึ้นมา และในทีมนี้มีคน 'ระดับพระกาฬ' (phenomenal) หลายคน" ซึ่งหนึ่งในนั้นคือผู้บริหารของกลุ่มชื่อ Mike Pilliod เขาเคยเป็นวิศวกรวัสดุ (materials engineer) ระดับท็อปของแอปเปิล และมีความเกี่ยวข้องกับสิทธิบัตรเกี่ยวกับกระจกจำนวนมากของแอปเปิล อีกทั้งยังเคยทำงานขึ้นตรงกับ Jonathan Ive ประธานฝ่ายออกแบบของแอปเปิลด้วย
Tesla และ SolarCity เดินหน้าเปลี่ยนโลกนี้เข้าสู่ยุคพลังงานที่ยั่งยืนตามแผนที่ Elon Musk ซีอีโอของ Tesla เคยประกาศไว้ ด้วยการเปิดตัวแบตเตอรี่สำหรับบ้าน Tesla Powerwall 2 และหลังคาบ้านที่ผสานโซลาร์เซลล์ไว้ด้วยกันในชื่อ Solar Roof ที่ Universal Studio ในนคร Los Angeles
สำหรับแบตเตอรี่ Tesla Powerwall 2 ได้รับการออกแบบใหม่หมด โดยเปลี่ยนจากทรงโค้งเว้ามาเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเรียบๆ และบางลง แต่มีความจุมากขึ้นกว่าสองเท่าจากรุ่นเดิม และมีหม้อแปลงไฟกระแสตรงเป็นกระแสสลับมาในตัวเลย (รุ่นเดิมต้องติดตั้งแยกเป็นอีกชิ้น) โดย Tesla บอกว่า Powerwall 2 สามารถให้พลังงานแก่บ้านขนาด 4 ห้องนอนแบบเปิดไฟครบหมด พร้อมตู้เย็นและเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ได้ 1 วันเต็มๆ
สืบเนื่องจากที่ Tesla ออกมาประกาศว่า ฮาร์ดแวร์ของรถยนต์ที่ถูกผลิตตั้งแต่ตอนนี้ รองรับระบบไร้คนขับแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งถึงแม้จะต้องรออีกหลายปีกว่าซอฟต์แวร์จะพร้อม แต่บริษัทก็ออกมาประกาศกั๊กเจ้าของรถที่หัวใสแล้วว่า ห้ามนำระบบไร้คนขับของ Tesla ไปหารายได้ด้วยการรับส่งคนภายใต้บริการอย่าง Uber หรือ Lyft
วันนี้ Tesla ประกาศความคืบหน้าบนเส้นทางที่รถยนต์จะเข้าสู่การขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบ (fully-autonomous) ว่าตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป รถยนต์ Tesla ทุกรุ่นทุกคันจะมาพร้อมกับฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับอัตโนมัติมาจากโรงงานเลย และยืนยันว่าจะมีความปลอดภัยมากกว่ามนุษย์ขับเอง
ฮาร์ดแวร์ใหม่ดังกล่าวมีกล้องทั้งหมด 8 ตัว ติดตั้งอยู่รอบตัวรถ ทำให้รถมองเห็นทุกอย่างรอบตัวแบบ 360 องศา และสามารถมองไปได้ไกลสุด 250 เมตร นอกจากนี้ยังมีเซ็นเซอร์อัลตราโซนิกรุ่นใหม่อีก 12 ตัว ช่วยให้ตรวจจับวัตถุทั้งนุ่มและแข็งได้ดีกว่าระบบเดิมเกือบ 2 เท่า อีกทั้งยังติดตั้งเรดาร์ยิงไปด้านหน้ารถที่ช่วยให้มองเห็นทะลุฝนตกหนัก, หมอก, ฝุ่น หรือแม้กระทั่งรถยนต์ที่อยู่ด้านหน้า
ผู้อ่านที่ติดตามข่าวรถยนต์ไฟฟ้า Tesla คงทราบดีว่ามันมีระบบช่วยขับอัตโนมัติ ซึ่งทำตลาดในชื่อ Autopilot และแม้จะเคยมีข่าวอุบัติเหตุมาบ้าง แต่ Tesla ก็ยังคงยืนยันใช้ระบบนี้ต่อไป เนื่องจากเห็นว่ามันปลอดภัยกว่าการขับโดยมนุษย์มาก
อย่างไรก็ตาม กรมการขนส่งเยอรมนีได้ส่งจดหมายถึง Tesla ขอให้เลิกใช้คำว่า Autopilot มาโฆษณาระบบช่วยขับดังกล่าว เนื่องจากอาจทำให้ผู้คนเข้าใจผิดว่ารถยนต์สามารถขับอัตโนมัติได้เต็มรูปแบบ ซึ่งฝั่งโฆษกของ Tesla ได้เปิดเผยว่าคำว่า Autopilot หมายถึงระบบที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ และคำดังกล่าวได้ใช้ในด้านการบินมานานหลายสิบปีแล้ว รวมถึงบริษัทฯ ก็บอกลูกค้าอย่างชัดเจนว่าระบบดังกล่าวต้องการความสนใจจากผู้ขับขี่ตลอดเวลา
"ดั่งเช่นในเครื่องบิน หากใช้งานอย่างถูกต้อง ระบบ Autopilot สามารถช่วยลดภาระของผู้ขับขี่และเพิ่มความปลอดภัยให้อีกขั้น เมื่อเทียบกับการขับด้วยมือแบบปกติ" โฆษกของ Tesla กล่าว
ที่มา - Reuters
เมื่อวันพุธที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ไฟดับเป็นวงกว้างที่รัฐ South Australia ประเทศออสเตรเลีย สาเหตุเกิดจากพายุหนักชนิดที่ว่าเกิดขึ้นครั้งเดียวในรอบ 50 ปี โดยสายไฟฟ้าแรงสูงเริ่มเสียหายบางส่วนและเกิดเป็นลูกโซ่ต่อๆ กันไปจนไฟดับเกือบทั้งรัฐในเวลาราว 15:50 นาฬิกาตามเวลาท้องถื่น
ทางการได้เร่งดำเนินการจนสามารถส่งไฟฟ้าให้กับเมือง Adelaide ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐได้ในช่วง 22 นาฬิกาของวันเดียวกัน แต่ในพื้นที่อื่นอย่าง Mid North และ Eyre Peninsula ก็ยังประสบปัญหา และไม่มีไฟฟ้าใช้กันเกิน 24 ชั่วโมง