วงการนี้ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรจริงๆ ถึงแม้แอปเปิลและกูเกิลแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายในตลาดอุปกรณ์พกพา แต่ล่าสุดมีข่าวไม่เป็นทางการ รายงานว่าแอปเปิลย้ายระบบเซิร์ฟเวอร์บางส่วนมาอยู่บน Google Cloud Platform แทน AWS แล้ว
เว็บข่าว CRN อ้างแหล่งข่าวหลายราย บอกว่าแอปเปิลต้องการลดการพึ่งพาคลาวด์ของ AWS ที่ใช้รัน iCloud และบริการออนไลน์อื่นๆ จึงแบ่งระบบเซิร์ฟเวอร์บางส่วนมาใช้ Google Cloud Platform แทน แต่แอปเปิลก็ยังเป็นลูกค้าของ AWS ต่อไป ไม่ได้เลิกใช้ AWS ทั้งหมด นอกจากนี้แอปเปิลก็ยังมีศูนย์ข้อมูลของตัวเองด้วย (ก่อนหน้านี้ก็เคยมีข่าวว่าแอปเปิลใช้ Azure ด้วยเช่นกัน)
ตามข่าวบอกว่าแอปเปิล "น่าจะ" จ่ายค่าคลาวด์ให้กูเกิลปีละ 400-600 ล้านดอลลาร์
เมื่อวานนี้ (ตามเวลาท้องถิ่นในสหรัฐอเมริกา) Cisco ยักษ์ใหญ่ด้านเครือข่าย ประกาศแสดงเจตจำนงที่จะเข้าซื้อกิจการ (intention to acquire) ของ CliQr สตาร์ทอัพที่ทำผลิตภัณฑ์เป็นซอฟต์แวร์บริหารและจัดการคลาวด์ ที่ปัจจุบันสามารถทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์ด้านคลาวด์หลักๆของ Cisco ได้อยู่แล้ว และ Public Cloud ของผู้ให้บริการรายใหญ่ๆ ในตลาด
บริการคลาวด์ราคาถูกเริ่มต้นเดือนละ 5 ดอลลาร์อย่าง DigitalOcean ประกาศเปิดศูนย์ข้อมูลเพิ่มเติมที่เมืองบังกาลอร์ อินเดีย เป็นศูนย์ข้อมูลที่ 6 ถัดจาก อัมสเตอร์ดัม, สิงคโปร์, ลอนดอน, แฟรงเฟิร์ต, และโตรอนโต
บริการคลาวด์นอกจากจะแข่งขันกันในแง่ของจำนวนศูนย์ข้อมูลเพื่อใ้หบริการต่างๆ สามารถตั้งเซิร์ฟเวอร์ได้ใกล้กับผู้ใช้ที่สุดแล้ว ยังแข่งขันกันในแง่ของความครบถ้วนของบริการ ทาง DigitalOcean ระบุว่าบริษัทกำลังเพิ่มโซลูชั่นด้านสตอเรจ และระบบมอนิเตอร์เซิร์ฟเวอร์
ช่วงนี้เราเห็นข่าวการย้ายระบบเซิร์ฟเวอร์ขึ้นคลาวด์กันบ่อยครั้ง เช่น Netflix ปิดเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมด ย้ายไปใช้ AWS อย่างสมบูรณ์, Bitly ย้ายไปใช้คลาวด์ของ IBM
บริการเพลงออนไลน์ Spotify เป็นบริการตัวล่าสุดที่ตัดสินใจย้ายระบบทั้งหมดขึ้นคลาวด์ โดยเลือกใช้ Google Cloud Platform รันระบบทุกอย่าง
Spotify บอกว่าการย้ายมาใช้คลาวด์ ช่วยแก้ปัญหาการซื้อหรือเช่าพื้นที่ในศูนย์ข้อมูล รวมถึงเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ต่างๆ นอกจากนี้การใช้คลาวด์ยังช่วยให้ส่งข้อมูลเพลงไปยังผู้ใช้ทั่วโลกได้ง่ายขึ้น
ที่งาน IBM InterConnect 2016 ที่สหรัฐอเมริกา (จัดช่วงเดียวกับ Mobile World Congress) IBM ได้แถลงเปิดตัวบริการและคุณสมบัติใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์สำคัญอย่าง IBM Cloud, Bluemix และ Watson (ขอจับรวบเป็นข่าวเดียว) ดังต่อไปนี้
Bitly บริการย่อ URL ชื่อดัง ประกาศในงาน IBM InterConnect 2016 ว่าเตรียมจะย้ายระบบของตนเองไปใช้ IBM Cloud อย่างเป็นทางการ
ภายใต้ข้อตกลงนี้ Bitly จะเปลี่ยนระบบไปใช้ IBM Cloud ซึ่งรวมไปถึงส่วนที่เป็น API ตลอดจนถึงการทำการตลาดร่วมกันกับทาง IBM โดยระบุว่าการตัดสินใจย้ายไปใช้ IBM Cloud เพื่อรองรับศักยภาพการเติบโตที่มากขึ้น ตลอดจนถึงความรวดเร็วที่จะต้องตอบสนองความต้องการของปริมาณ traffic ที่กว่าร้อยละ 70 มาจากต่างประเทศ
ปีที่แล้ว Google เปิดตัว Cloud Dataproc บริการ Hadoop/Spark บนกลุ่มเมฆ ตอนนี้บริการตัวนี้เข้าสถานะ GA (general availability) แล้ว
Google Cloud Dataproc ออกแบบมาสำหรับคนที่ต้องการวิเคราะห์ข้อมูล big data ด้วย Apache Hadoop/Spark แต่ไม่อยากเซ็ตระบบเซิร์ฟเวอร์เอง หรือไม่อยากลงทุนเตรียมคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ไว้ ก็สามารถเช่าใช้บริการจากคลาวด์ของกูเกิลได้เลย ช่วยแก้ปัญหาทั้งค่าใช้จ่ายตั้งต้น ภาระการดูแล และการขยายขนาดในอนาคตถ้าหากข้อมูลมีปริมาณเยอะขึ้น
ที่งาน IBM InterConnect ประจำปีนี้ IBM ออกมาประกาศความร่วมมือกับ VMware บริษัทที่ทำด้านโซลูชั่น Virtualization รายใหญ่ของโลก ว่าระบบคลาวด์ของตนเอง (IBM Cloud) จะรองรับเทคโนโลยีของ VMware ด้าน Virtualization โดยเฉพาะ VMware SDDC ซึ่งทำให้ลูกค้าของทั้งสองเจ้า ทำงานได้ดีขึ้น
ผลิตภัณฑ์ของ VMware ที่ทาง IBM ประกาศรองรับกับ IBM Cloud นั้นประกอบไปด้วย vSphere, NSX และ Virtual SAN โดยทั้งสองบริษัททำงานร่วมกันทั้งในด้านการออกแบบ รวมไปถึงการขายผลิตภัณฑ์ด้วย ในทางกลับกันเอง VMware ก็จะเพิ่มการสนับสนุน IBM Cloud กับเครื่องมือของตนเองอย่าง vRealize Automation และ vCenter ด้วย
นอกจากนี้แล้ว IBM Cloud จะเป็นแพลตฟอร์มหลัก (showcase platform) สำหรับ vCloud Air Network อีกด้วย
วานนี้ (ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา) IBM ออกแถลงการณ์ว่าได้ลงนามเป็นพันธมิตรกับ GitHub ระบบบริหารและจัดการซอร์สโค้ดบนเว็บ และเปิดตัว GitHub Enterprise Service ซึ่งเป็นบริการที่ให้องค์กรสามารถใช้ GitHub บนระบบของตัวเองที่ตั้งอยู่บนคลาวด์ของ Bluemix
ผู้บริหารของ IBM ระบุว่าความร่วมมือดังกล่าวจะทำให้การพัฒนาแอพบนแพลตฟอร์มคลาวด์ Bluemix สามารถทำได้ง่ายและเร็วขึ้นกว่าเดิม และสามารถใช้ได้ทั้งบน Public Cloud, Hybrid Cloud หรือแม้กระทั่ง Dedicated Cloud ของบริษัทเอง
ยังไม่ระบุว่าจะเปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อใดครับ
ที่มา - IBM
GlusterFS เป็นระบบไฟล์แบบกระจายศูนย์สำหรับคลาวด์ที่ขยายตัว (scale out) ข้ามเครือข่ายได้ง่าย ระบบไฟล์ตัวนี้พัฒนาขึ้นโดยบริษัท Gluster ที่ถูก Red Hat ซื้อไปในปี 2011 มีจุดเด่นที่ความทนทานต่อความผิดพลาดของระบบ (high availability/fault tolerant) (ชื่ออย่างเป็นทางการในปัจจุบันคือ Red Hat Gluster Storage)
ที่ผ่านมา Gluster ถูกใช้ในระบบคลัสเตอร์ที่ส่วนใหญ่ติดตั้งลงในระบบเซิร์ฟเวอร์ขององค์กรเอง แต่ล่าสุด กูเกิลจับมือกับ Red Hat นำระบบไฟล์นี้มาให้บริการบน Google Compute Engine แล้ว ถือเป็นระบบไฟล์ทางเลือกอีกตัวหนึ่ง นอกเหนือจากการใช้ Google Cloud Storage หรือ Compute Engine Persistent Disks
ที่ผ่านมา การเช่า VM จากผู้ให้บริการคลาวด์มักต้องเลือกชนิดของ VM ที่มีเตรียมไว้ให้อยู่แล้วเท่านั้น แต่เมื่อปลายปี กูเกิลก็เปิดบริการชื่อ Custom Machine Types ให้ผู้เช่าสามารถปรับแต่งทรัพยากรของเครื่องได้เอง (เช่น ปรับจำนวนคอร์ซีพียูและแรม)
วันนี้ Google Compute Engine เปิดบริการ Custom Machine Types อย่างเป็นทางการแล้ว กูเกิลบอกว่าช่วงการทดสอบหลายเดือนที่ผ่านมา พบว่าลูกค้าประหยัดเงินค่าเช่า VM ได้เฉลี่ย 19% และบางรายประหยัดได้มากถึง 50% เพราะจัดสรรทรัพยากรได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เมื่อปลายปีที่แล้ว ไมโครซอฟท์ประกาศความร่วมมือกับ Red Hat วันนี้ผลลัพธ์อย่างรูปธรรมเกิดขึ้น เมื่อไมโครซอฟท์จะขาย Red Hat Enterprise Linux (RHEL) บน Azure Marketplace เฉกเช่นเดียวกับการขายระบบปฏิบัติการมีไลเซนส์อื่นๆ บน Azure
RHEL ที่ขายจะมีให้เลือกทั้ง 6.2 และ 7.2 ตอนนี้ใครที่อยากสร้าง VM รัน RHEL ก็สามารถกดซื้อและสั่งดีพลอยได้จาก Azure โดยตรงครับ
ในโอกาสเดียวกัน ไมโครซอฟท์ยังขยายบริการ Azure Container Service รุ่นพรีวิวให้กับทุกคนที่สนใจ สามารถเลือกใช้ซอฟต์แวร์ได้ตามชอบ ทั้ง Docker Swarm และ Mesosphere Marathon
หลังจากเริ่มกระบวนการเปลี่ยนผ่านศูนย์ข้อมูลจากของตัวเอง ไปใช้ระบบกลุ่มเมฆบน AWS มาตั้งแต่ปี 2008 วันนี้ Netflix ประกาศความสำเร็จในการย้ายใช้งานระบบทั้งหมดบนกลุ่มเมฆอย่างเป็นทางการแล้ว
ย้อนไปเมื่อ 7 ปีก่อน ตอนที่ Netflix เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น การตัดสินใจยกระบบขึ้นกลุ่มเมฆก็เพื่อตอบโจทย์การเติบโตของปริมาณผู้ใช้งาน ซึ่งปัจจุบันเพิ่มขึ้นจากปี 2008 ถึงเจ็ดเท่าตัว รวมถึงการขยายไปทั่วโลก 130 ประเทศที่เพิ่งประกาศไปช่วงต้นปีก็ทำได้ง่ายขึ้นจากการใช้ระบบกลุ่มเมฆ
ไมโครซอฟท์เปิดบริการ Microsoft Azure IoT Hub อย่างเป็นทางการ มันคือระบบคลาวด์สำหรับรับส่งข้อมูลกับอุปกรณ์ IoT จำนวนมหาศาลที่อาจกระจายตัวกันอยู่ทั่วโลก
Azure IoT Hub รองรับอุปกรณ์ทุกรูปแบบ ทั้งระบบปฏิบัติการวินโดวส์ ลินุกซ์ และระบบปฏิบัติการฝังตัว (พวก real-time OS ทั้งหลาย) ส่วนโพรโทคอลรับส่งข้อมูลที่ใช้ได้ก็หลากหลาย ทั้งการส่งแบบ HTTP ตรงๆ และ Advanced Message Queuing Protocol (AMQP), MQ Telemetry Transport (MQTT) ที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรม การส่งข้อมูลใช้งานได้ทั้งสองทาง คือจากคลาวด์ไปยังอุปกรณ์ และจากอุปกรณ์มายังคลาวด์
หลังจากประกาศไปช่วงกลางปีที่แล้ว วันนี้ไมโครซอฟท์ออกมาระบุว่า Azure Stack ชุดซอฟต์แวร์บริการแบบ IaaS และ PaaS สำหรับการใช้งานแบบในองค์กร (on-premise) พร้อมให้บริการอย่างเป็นทางการแล้วในรูปแบบของ Technical Preview
Microsoft Philanthropies หน่วยงานการกุศลของไมโครซอฟท์ที่เพิ่งก่อตั้งเมื่อปลายปี เปิดตัวมาไม่นานก็จู่โจมด้วยการบริจาคเครดิต "บริการคลาวด์" ของไมโครซอฟท์เอง (เช่น Azure, Power BI, CRM Online) ให้องค์กรไม่หวังผลกำไรใช้งานฟรี คิดเป็นมูลค่ารวม 1 พันล้านดอลลาร์ในอีก 3 ปีข้างหน้า เป้าหมายคือเข้าถึง 70,000 องค์กร
นอกจากนี้ไมโครซอฟท์ยังขยายโครงการ Microsoft Azure for Research หรือการให้เครดิต Azure ฟรีกับหน่วยงานด้านวิจัยอีก 50% จากของเดิม (ปัจจุบันโครงการนี้มีโครงการวิจัยเข้าร่วม 600 โครงการ จะเพิ่มเป็น 900 โครงการ) และสุดท้ายคือไมโครซอฟท์จะช่วยลงทุนด้านการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกลอีก 20 โครงการใน 15 ประเทศทั่วโลกด้วย
กระแสการใช้งานเซิร์ฟเวอร์ผ่านบริการคลาวด์เป็นเรื่องที่เราได้ยินกันเสมอ จากความสะดวกในการสร้างเครื่องเซิร์ฟเวอร์ขึ้นมาใช้งานได้รวดเร็วโดยไม่มีค่าใช้จ่ายแรกเริ่ม การขยายตัวที่ทำได้ภายในไม่กี่นาที และราคาที่ปรับลงอย่างต่อเนื่องแทบทุกแบรนด์
ผมออกสำรวจมาสักพักว่าในไทยนั้นมีใครบ้างที่เป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ๆ และหันไปใช้บริการคลาวด์เป็นหลัก เพราะบริษัทใหญ่ๆ น่าจะยังวางเซิร์ฟเวอร์เองกันเป็นส่วนมาก หลังจากถามมาได้สักพักก็พบว่า Ascend Group ที่แยกออกมาจากทรูเป็นบริษัทหนึ่งที่เน้นการใช้บริการคลาวด์อย่างหนัก หลังจากพยายามติดต่อก็มีโอกาสได้สัมภาษณ์คุณชัยวัฒน์ รัตนประทีปพร CTO ของ Ascend Group
ไมโครซอฟท์ประกาศหั่นราคาค่าเช่า Azure Virtual Machine แบบ D (optimized compute) ลงสูงสุด 17% (อัตราการลดลงขึ้นกับประเภทของ virtual machine) ตามนโยบายของบริษัทที่ต้องการให้ราคาแข่งกับ Amazon Web Services ได้
ตัวอย่างราคาที่ไมโครซอฟท์นำมาโชว์ ลดลงจากเดิม 10-17% โดยเครื่องที่ใช้ระบบปฏิบัติการลินุกซ์จะลดราคาเยอะกว่าเครื่อง Windows Server
นอกจากนี้ไมโครซอฟท์ยังโฆษณาว่าเครื่องของ Azure ยังแถมฟีเจอร์ load balancing และ auto scaling มาให้เลย ไม่ต้องจ่ายเพิ่มเหมือนกับเครื่องของ Amazon แถมยังคิดค่าใช้บริการละเอียดตามนาที ในขณะที่ Amazon คิดเป็นรายชั่วโมง
ไม่ได้หมายถึง Shinra Company ในเกม Final Fantasy VII แต่หมายถึง Shinra Technologies บริษัทลูกชื่อคล้ายกันของ Square Enix ที่เน้นพัฒนาเกมสำหรับยุคกลุ่มเมฆ (cloud gaming)
บริษัท Shinra Technologies (STI) ก่อตั้งโดย Yoishi Wada อดีตประธานและซีอีโอของ Square Enix ในปี 2014 ซึ่งทาง Square Enix บริษัทแม่ก็ให้เงินทุนตั้งต้นมา 15 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม STI ไม่สามารถระดมทุนจากนักลงทุนรายอื่นๆ เพิ่มเติมได้ จึงต้องปิดตัวในที่สุด
เป้าหมายของ STI คือสร้างประสบการณ์เกมใหม่ๆ ที่ดึงพลังของกลุ่มเมฆมาใช้งาน โดยให้เกมถูกประมวลผลอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่การใช้เซิร์ฟเวอร์เป็นแค่ช่องทางสตรีมมิ่งเท่านั้น
VMware จัดงาน VMworld เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาเปิดตัวสินค้าไปชุดใหญ่ รวมถึงการจัดงาน vForum Thailand ไปแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านผมก็ได้เข้าไปพูดคุยกลุ่มเล็กกับทาง VMware อีกครั้ง สรุปภาพรวมของแนวทางที่ VMware จะเดินไปข้างหน้าในปี 2016
สินค้าที่ VMware เปิดตัวในปีนี้มีเยอะมาก (ดูข่าวเก่า) แต่วิสัยทัศน์ทั้งหมดสรุปออกมาเป็นสามกลยุทธ์ คือ คลาวด์เดียว ทุกแอปพลิเคชั่น ทุกอุปกรณ์ (one cloud, any application, any device)
หากใครยังจำได้กันได้ เกม Titanfall ที่ออกมาเมื่อปีที่แล้วได้ใช้เทคโนโลยีการประมวลผล AI ผ่าน Azure ของไมโครซอฟท์ ที่ในอนาคตเตรียมนำมาใช้กับเกม Crackdown 3 บน Xbox One
Phil Spencer หัวหน้าทีม Xbox ได้ตอบคำถามผ่านทาง Twitter เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้กับเกมอื่นๆ ซึ่งเขาก็ตอบกลับมาว่า บริการของ Azure สามารถใช้งานกับเกมไหนก็ได้ และไม่จำกัดแพลตฟอร์มของเครื่องเล่นนั้นๆ
ข้อดีของการยกงานประมวลผลไว้บนกลุ่มเมฆ คือการที่สามารถรองรับการปริมาณผู้เล่นได้มากขึ้น, ไม่ต้องดูแลเซิร์ฟเวอร์เองและเครื่องที่เล่นสามารถนำทรัพยากรไปมุ่งเน้นที่กราฟิกได้มากขึ้น
ถึงแม้ว่าการดูแลระบบเซิร์ฟเวอร์และคลาวด์ในปัจจุบันมีตัวช่วยผ่านหน้าเว็บมากมาย แต่แอดมินพันธุ์แท้ต้องกลับไปหา command line กันอยู่ดี
Google Cloud Platform เปิดตัวระบบเชลล์ Google Cloud Shell มาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีนี้ ฟีเจอร์นี้ถือเป็นฟีเจอร์เสริมที่จะคิดเงินในอนาคต ที่ผ่านมากูเกิลประกาศให้ใช้ Google Cloud Shell ฟรีจนถึงสิ้นปี 2015 แต่ล่าสุดกูเกิลปรับนโยบายใหม่ ให้ฟรีต่ออีก 1 ปีไปจนสิ้นปี 2016
Google Cloud Shell สามารถใช้สั่งงาน Compute Engine, Cloud SQL, Cloud Storage, App Engine ได้จากหน้า terminal บนเว็บเบราว์เซอร์ และมีพื้นที่ให้ใช้งานเก็บไฟล์ 5GB ต่อผู้ใช้หนึ่งคน (เป็น persistent storage เก็บไฟล์ได้ไม่หาย)
Amazon Web Service เปิดตัวเครื่อง t2.nano มาตั้งแต่เดือนตุลาคม ตอนนี้ก็ได้เวลาเปิดให้ใช้งานจริงแล้ว โดยราคาแบบ on-demand อยู่ที่เดือนละ 4.75 ดอลลาร์ หรือชั่วโมงละ 0.0065 ดอลลาร์ ในสหรัฐฯ เป็นเครื่องรุ่นแรกที่คิดราคาแบบทศนิยมสี่หลัก ส่วนในสิงคโปร์ราคา 0.01 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง
ราคานี้ถูกกว่า t2.micro ที่เคยเป็นเครื่องเล็กที่สุดเท่าตัว และหากจ่ายล่วงหน้าสามปีจะถูกลงเหลือเดือนละ 2.1 ดอลลาร์เท่านั้น เซิร์ฟเวอร์เช่นนี้เพียงพอสำหรับการใช้งานง่ายๆ เช่น เว็บขนาดเล็กที่คนเข้าไม่เกิน 25,000 ครั้งต่อเดือน
มีให้ใช้งานในสหรัฐฯ, ยุโรป, สิงคโปร์, โตเกียว, และบราซิล
กูเกิลมีบริการ MySQL บนกลุ่มเมฆให้บริการมาตั้งแต่ปี 2011 ในชื่อ Google Cloud SQL หลังให้บริการมาสี่ปีกว่า กูเกิลก็อัพเกรด Cloud SQL เป็นเวอร์ชันสองแล้ว
จุดเด่นสำคัญของ Cloud SQL เวอร์ชันสองคือประสิทธิภาพดีกว่าเดิมถึง 7 เท่า และรองรับปริมาณข้อมูลเยอะขึ้นกว่าเดิมมาก โดยฐานข้อมูล 1 instance สามารถรองรับข้อมูล 10TB, 15,000 IOPS และแรม 104GB
Cloud SQL เวอร์ชันสองยังยืดหยุ่นกว่าเดิม สามารถใช้งานได้กับเครื่องมือยอดฮิตในโลก MySQL อย่าง MySQL Workbench, Toad รวมถึงการเชื่อมต่อกับ Compute Engine ของกูเกิลเอง และไดรเวอร์เชื่อมต่อฐานข้อมูลอื่นๆ อย่าง Connector/ODBC ได้ด้วย
กูเกิลเปิดให้นักพัฒนาภายนอกบริษัทเข้าถึงฟีเจอร์การแยกแยะรูปภาพแบบเดียวกับใน Google Photos โดยใช้ชื่อว่า Cloud Vision API
Cloud Vision API เป็นบริการตัวใหม่ใน Google Cloud Platform ที่เรียกใช้งาน TensorFlow ไลบรารีสำหรับงาน machine learning อีกต่อหนึ่ง นักพัฒนาสามารถส่งภาพให้ Cloud Vision แยกแยะรูปภาพในแง่มุมต่างๆ ได้ดังนี้