ศาลสูงสุดของสหรัฐตัดสินให้แอปเปิลแพ้คดีผูกขาด App Store จนส่งผลกระทบต่อราคาแอพที่ผู้ใช้ต้องจ่ายออกไป

คดีนี้มีชื่อเรียกว่า Apple Inc. v. Pepper เป็นคดีที่ลากยาวมาตั้งแต่ปี 2011 โดยผู้ใช้ iPhone รายย่อย 4 รายรวมกันฟ้องแบบกลุ่มต่อแอปเปิลว่าผูกขาด App Store และทำให้ราคาแอพแพงขึ้น เพราะนักพัฒนาส่งต่อต้นทุนที่แอปเปิลเก็บส่วนแบ่ง 30% ด้วยการขึ้นราคากับผู้ใช้อีกต่อหนึ่ง

แอปเปิลต่อสู้คดีนี้ด้วยหลักการว่า ผู้ใช้ไม่มีสิทธิฟ้องแอปเปิลในประเด็นนี้ เพราะนักพัฒนาคือลูกค้าโดยตรงของแอปเปิลที่ต้องจ่ายส่วนแบ่งให้ App Store

ศาลชั้นต้นตัดสินให้แอปเปิลชนะ แต่ศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสินให้แอปเปิลแพ้ ทำให้แอปเปิลยื่นฎีกาต่อศาลสูงสุดในปี 2017 และศาลตัดสินด้วยคะแนน 5:4 ยืนตามศาลอุทธรณ์

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ Sprint ได้ยื่นฟ้อง AT&T ฐานใช้โลโก้ 5G E ทำตลาดทั้งที่เทคโนโลยีเป็นแค่ LTE ล่าสุด Dallas Business Journal รายงานว่าคดีความและข้อพิพาทระหว่างสองบริษัทได้ข้อยุติแล้ว โดยโฆษกของทั้งสองบริษัทได้ยืนยันตรงกันในเรื่องนี้ว่า ข้อพิพาทเรื่องนี้ยุติลงกันฉันมิตร

อย่างไรก็ตามไม่มีรายละเอียดว่าในข้อตกลงระหว่าง AT&T และ Sprint ที่ทำให้ข้อพิพาทนี้ยุติลงคืออะไร อย่างไรก็ตาม AT&T ยังคงจะใช้งานโลโก้ 5G E บนเครือข่าย LTE ต่อไปเช่นเดิม จึงอาจเป็นไปได้ว่า AT&T จ่ายเงินค่าเสียหายให้ Sprint

คดีความระหว่าง Qualcomm กับแอปเปิลได้ข้อยุติ หลังจากต่อสู้กันในชั้นศาลมาได้สักระยะหนึ่ง และจบด้วยชัยชนะของ Qualcomm ในแทบทุกประเทศ เรื่องนี้ก็จบลงตามอย่างที่ทุกคนคาดไว้ นั่นคือ แอปเปิลยอมจ่ายเงินเพื่อยุติคดีแล้ว

ภายใต้ข้อตกลงนี้ Qualcomm จะถอนคดีที่ฟ้องแอปเปิลในทุกประเทศ แลกกับการที่แอปเปิลจ่ายเงินให้ Qualcomm (ไม่เปิดเผยตัวเลข), สัญญาใช้สิทธิบัตรของ Qualcomm เป็นเวลา 6 ปี (สามารถขยายต่อได้อีก 2 ปี) และสัญญาซื้อชิปเซ็ตจาก Qualcomm อีกระยะเวลาหนึ่ง

หลัง Google/Huawei ถูกยื่นฟ้องแบบกลุ่ม ตั้งแต่ 2017 จากกรณีที่ Nexus 6P เจอปัญหา boot loop และชัตดาวน์ตัวเอง ล่าสุดทั้งสองบริษัทยินยอมจะจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบแล้ว เป็นเงินสูงสุด 400 เหรียญ

ผู้เสียหายที่จะได้ 400 เหรียญคือต้องมีหลักฐานยืนยันว่า Nexus 6P ของตัวเองมีปัญหาทั้ง boot loop และชัตดาวน์เอง หากมีหลักฐานยืนยันแค่การ boot loop จะได้รับเงิน 325 เหรียญหรือหากชัตดาวน์อย่างเดียวจะได้รับ 150 เหรียญ แต่หากไม่มีหลักฐานมายืนยัน จะได้แค่ 75 เหรียญเท่านั้นจากข้อตกลงนี้ ขณะที่คนที่เคยนำ Nexus 6P ไปแลกเป็น Pixel XL แล้วก็จะได้แค่ 10 เหรียญ

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา Tesla ได้ฟ้อง Guangzhi Cao อดีตพนักงานที่เคยทำงานอยู่ในทีมพัฒนา Autopilot ซึ่งขณะนี้เขาเป็นพนักงานอยู่ในสตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้า Xiaopeng Motors หรือเรียกสั้นๆ ว่า Xpeng

Tesla ระบุว่า Cao เป็นพนักงาน 1 คนจากเพียง 40 คนที่มีสิทธิ์เข้าถึงซอร์สโค้ดของระบบ Autopilot ซึ่งเขาได้ลาออกจาก Tesla อย่างกะทันหันเมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา และไปเข้าทำงานที่ Xpeng ในเวลาต่อมา โดย Tesla บอกว่า Cao เริ่มอัพโหลดซอร์สโค้ดที่เกี่ยวข้องกับระบบ Autopilot ขึ้นไปเก็บไว้ใน iCloud ส่วนตัวตั้งแต่ปีที่แล้วมากกว่า 300,000 ไฟล์ และหลังได้งานที่ Xpeng เขาก็ลบไฟล์ออกจากคอมพิวเตอร์บริษัทไปราว 120,000 ไฟล์รวมถึงปลดบัญชี iCloud ออกจากคอมพิวเตอร์ไปด้วย

คดีสิทธิบัตรระหว่าง Qualcomm กับแอปเปิล เกิดขึ้นในหลายประเทศ ก่อนหน้านี้ Qualcomm ชนะคดีแอปเปิลทั้งในจีน และในเยอรมนี

ความคืบหน้าล่าสุดมาจากคดีในสหรัฐอเมริกา โดยคณะลูกขุนของศาลเขตซานดิเอโก ลงมติว่าแอปเปิลละเมิดสิทธิบัตรของ Qualcomm จำนวน 3 ชิ้น คิดเป็นค่าเสียหายรวม 31 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.41 ดอลลาร์ต่อ iPhone หนึ่งเครื่อง

iPhone ที่เข้าข่ายละเมิดสิทธิบัตรมีทั้ง iPhone 7, 7 Plus, 8, 8 Plus, X

ย้อนหลังไปวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2562 คุณฤภพ ชินวัตร  ได้ live ผ่านเฟสบุคแฟนเพจของพรรคไทยรักษาชาติ และเปิดตัวเว็บ https://tsntalk.com/pm25 ซึ่งคนทั่วไปสามารถเข้าไปตรวจสอบค่าฝุ่นละอองขนาด pm2.5 ได้ด้วยการระบุพิกัดทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ที่ต้องการตรวจสอบค่าฝุ่นละออง

ต่อมาตำรวจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ตรวจพบว่าเมื่อระบุพิกัดบางพื้นที่ เว็บดังกล่าวกลับนำข้อมูลของพื้นที่ใกล้เคียงกับพิกัดที่ระบุไว้มาแสดงผลแทน ซึ่งถือเป็นข้อมูลเท็จ สร้างความสับสนให้ประชาชนตื่นตระหนก

สืบเนื่องจากปลายปีที่แล้ว AT&T เลือกจะเปลี่ยนไอคอนแสดงสถานะ LTE เป็น 5G E ด้วยเหตุผลด้านการตลาด แต่ล่าสุดการเปลี่ยนไอคอนนี้เป็นเรื่องถึงชั้นศาลแล้ว

Sprint ได้ยื่นฟ้องศาลโดยให้เหตุผลว่า การเปลี่ยนโลโก้ของ AT&T สร้างความสับสนให้กับผู้บริโภค ด้วยหลงคิดว่า AT&T ให้บริการ 5G จริงและสมาร์ทโฟนของพวกเขาก็รองรับ โดยอ้างอิงการสำรวจที่ Sprint สอบถามผู้บริโภคพบว่ากว่า 54% คิดว่า 5G E ของ AT&T เร็วเทียบเท่าหรือเร็วกว่า 5G จริงด้วยซ้ำไป

การฟ้องร้องของ Sprint ไม่เพียงแค่ด้วยเหตุผลสร้างความสับสนเท่านั้น แต่ยังเรียกค่าเสียหายที่ Sprint เสียโอกาสจากการใช้โลโก้ 5G E ของ AT&T ด้วย

เดือนเมษายน 2018 มีการฟ้อง Tinder เรื่องกีดกันและเลือกปฏิบัติ รายละเอียดคือ Tinder Plus หรือบริการ Tinder พรีเมียมที่ผู้ใช้จะได้ฟีเจอร์พิเศษมากมายแต่ต้องจ่ายเงินนั้น มีการเก็บค่าบริการคนที่อายุ 30 ปีขึ้นไปในราคาแพงกว่า จึงมีคนไปฟ้องศาลว่า Tinder ทำแบบนี้เป็นการเลือกปฏิบัติ

ล่าสุด Tinder ยอมความแล้ว โดยการฟ้องดังกล่าวเป็นการฟ้องแบบกลุ่ม ทำให้มีคนที่เป็นโจทก์สามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้ 230,000 คน ทุกคนจะได้รับเงินสด 25 เหรียญหรือ Super Likes เพิ่มอีก 25 รายการหรือการสมัครสมาชิกหนึ่งเดือนสำหรับ Tinder Plus หรือ Tinder Gold และในส่วนหนึ่งของข้อตกลง Tinder ต้องชดใช้เงิน 11.5 ล้านดอลลาร์ ให้แก่โจทก์ที่อยู่ในการฟ้องแบบกลุ่ม

เว็บไซต์ Reveal เผยเอกสารที่ใช้ประกอบการพิจารณาคดีว่า Facebook ในช่วงแรกๆ ของการก่อตั้ง มีความพยายามจะล่อหลอกให้เด็กจ่ายเงินเล่นเกมที่เป็นเกมให้เล่นฟรี เช่น Happy Auarium, Ninja Saga และเด็กก็ไม่รู้ว่ามันเชื่อมไปยังบัตรเครดิตของพ่อแม่ นอกจากนี้ Facebook ยังไม่สนคำเตือนให้แก้ปัญหา เพราะไม่อยากให้กระทบรายได้ในตอนนั้น

ย้อนกลับไปช่วงเดือนกันยายนปี 2018 IBM ถูกฟ้องข้อหาปฏิบัติไม่เท่าเทียม กีดกันและไล่ออกแต่พนักงานอายุมาก ล่าสุดมีรายงานจากคำพูดของ Catherine Rodgers อดีตผู้บริหารตำแหน่งสูงใน IBM บอกว่าเธอถูกบริษัทสั่งให้โกหกรัฐบาลเรื่องพนักงานอายุมากถูกปลด และเธอก็ถูกปลดหลังจากที่เธอชี้ว่าเรื่องนี้มันผิดกฎหมายปฏิบัติไม่เท่าเทียม

AMD ยื่นฟ้อง MediaTek ข้อหาละเมิดสิทธิบัตรจีพียูในชิป SoC รุ่น Helio P10 ที่ออกในปี 2015

AMD ค้นพบเรื่องนี้ในปี 2017 ว่าสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฟน-สมาร์ททีวีจาก LG, Vizio, Sigma Designs ละเมิดสิทธิบัตรจีพียูของตนเองหลายตัว และพบว่าต้นเหตุมาจากการใช้ชิป MediaTek Helio P10

AMD เคยยื่นฟ้องต่อคณะกรรมการการค้าระหว่างประเทศ (ITC) ของสหรัฐในปี 2017 โดย ITC ตัดสินให้ AMD ชนะคดีด้วย อย่างไรก็ตาม หลายบริษัท (เช่น LG) ยอมความกับ AMD ไปเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียง MediaTek ที่เจรจากันไม่สำเร็จ ทำให้ AMD ยื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐ

ตามข่าวยังบอกว่า ซัมซุงและ GlobalFoundries ก็ใช้สิทธิบัตรจีพียูเหล่านี้ แต่จ่ายค่าไลเซนส์ให้ AMD อย่างถูกต้อง

เบื้องหลังการลาออกขาก Google ของ Andy Rubin บิดาแอนดรอยด์มาจากพฤติกรรมคุกคามทางเพศลูกน้องในที่ทำงาน และยังบอกด้วยว่าแม้จะทำความผิดแต่ก็ยังได้รับเงินตอบแทนถึง 90 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทั้งผู้บริหาร Google และ Alphabet ปกปิดเรื่องนี้ไว้ จน New York Times ไปขุดมาได้

เรื่องนี้ใหญ่โตขนาดทำให้พนักงาน Google ออกมาเดินประท้วงกันทั่วโลก ล่าสุดแม้แต่ผู้ถือหุ้น Google ก็ไม่อยู่เฉย ออกมาฟ้อง Alphabet ฐานปกปิดข้อมูลและทำให้เข้าใจผิด

City of Los Angeles ได้ยื่นฟ้องเจ้าของแอพพยากรณ์อากาศ The Weather Channel ว่าทางบริษัทใช้ข้อมูลตำแหน่งที่อยู่ที่เก็บจากแอพซึ่งเป็นข้อมูลส่วนตัวอย่างผิดวัตถุประสงค์

ในคำฟ้องนั้น City of Los Angeles ระบุว่า บริษัท The Weather Company ซึ่งเป็นเจ้าของแอพ The Weather Channel ปฏิบัติต่อข้อมูลส่วนบุคคลไม่ถูกต้อง โดยทางบริษัทได้ทำการส่งข้อมูลให้กับบริษัทในเครือ IBM (เนื่องจาก The Weather Company เป็นบริษัทในเครือ IBM), ส่งให้บุคคลที่สามเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการโฆษณาและด้านการพาณิชย์ที่ไม่ได้เกี่ยวกับบริการด้านสภาพอากาศหรือบริการอื่น ๆ บนแอพ The Weather Channel

ต่อจากข่าว ศาลเยอรมนีตัดสิน แอปเปิลละเมิดสิทธิบัตร Qualcomm จริง, สั่งห้ามขาย iPhone แล้ว เมื่อเดือนธันวาคม 2018

ตามกฎหมายของเยอรมนี คำสั่งศาลจะมีผลต่อเมื่อ Qualcomm วางเงินค้ำประกันเป็นพันธบัตรมูลค่า 1.34 พันล้านยูโร (ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท) ต่อศาล ซึ่ง Qualcomm ก็วางเงินนี้แล้วในวันที่ 3 มกราคม 2019

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แอปเปิลจะต้องหยุดขาย iPhone ทุกรุ่นที่ถูกตัดสินว่าละเมิดสิทธิบัตร (ได้แก่ iPhone 7 และ iPhone 8) ในประเทศเยอรมนี โดยหน้าร้าน Apple Store จะหยุดขายในทันที และศาลก็สั่งให้แอปเปิลเรียกคืน iPhone ที่ส่งให้ร้านค้าอื่นๆ กลับทั้งหมดด้วย

จากกรณีข้อมูลหลุด Cambridge Analytica เมื่อต้นปีนี้ ล่าสุดอัยการของเขต District of Columbia (ชื่ออย่างเป็นทางการของ Washington, D.C.) ยื่นฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเอาผิด Facebook แล้ว

ข้อหาที่อัยการยื่นฟ้องคือ Facebook ทำผิดกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค Consumer Protection Procedures Act (CPPA) ที่ไม่สามารถคุ้มครองข้อมูลของผู้ใช้งานได้ตามที่สัญญาเอาไว้

เอกสารคำฟ้องระบุว่า Facebook ละเลยต่อการปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ ไม่บังคับใช้นโยบายรักษาความเป็นส่วนตัวที่บริษัทเขียนไว้เอง และใช้ถ้อยคำที่ชวนให้เข้าใจผิดในเรื่องการเข้าถึงข้อมูลจากหน่วยงานภายนอก

คดีความระหว่าง Qualcomm กับแอปเปิล ขยายวงไปถึงเยอรมนีแล้ว โดยศาลเขตมิวนิกมีคำสั่งให้แอปเปิลหยุดขายผลิตภัณฑ์ทุกตัวที่ละเมิดสิทธิบัตรของ Qualcomm ซึ่งร่วมถึง iPhone รุ่นที่ใช้ชิปโมเด็มของ Intel และ Qorvo ด้วย

นอกจากนี้ ศาลยังตัดสินว่าแอปเปิลต้องจ่ายค่าเสียหายให้ Qualcomm อีกต่อหนึ่งด้วย ซึ่งจะประเมินค่าเสียหายในระยะถัดไป

แอปเปิลระบุว่าจะยื่นอุทธรณ์ แต่ระหว่างนี้จะหยุดขาย iPhone รุ่นเก่าคือ iPhone 7 และ iPhone 8 ผ่านหน้าร้าน Apple Store ของตัวเองไปก่อน (ยังขายผ่านโอเปอเรเตอร์และร้านตัวแทนจำหน่ายอื่นๆ) ส่วน iPhone X, XS, XR จะยังขายผ่านทุกช่องทางตามปกติ

เมื่อวานเรารายงานข่าวเรื่องที่ Elon Musk กับ Drew Olanoff อดีตนักข่าวของ TechCrunch ได้ทวีตกันไปมาหลังนาย Drew ได้ทวีตว่า Elon Musk ควรดูความจริงก่อนจะกล่าวหาว่าใครเป็น pedophile ทำให้ Elon ตอบไปว่ามันไม่แปลกหรือที่นาย Vern ไม่ฟ้องร้องเขา

ล่าสุดมีรายงานว่าที่จริงแล้วมีจดหมายจาก L. Lin Wood ทนายและตัวแทนด้านกฎหมายของ Vern Unsworth ส่งไปหา Elon ที่บ้านแล้ว โดยในจดหมายลงวันที่ 6 สิงหาคม ระบุว่า Elon ได้ทวีตหมิ่นประมาทนาย Vern ด้วยการอ้างว่าเขาเป็นพวกมีรสนิยมทางเพศกับเด็ก (pedophile) ทั้งที่นาย Vern พยายามจะช่วยเด็กที่ติดถ้ำทั้ง 12 คนออกมา

คล้อยหลังเพียงสองวันหลังมีข่าวว่าอดีตพนักงาน Tesla ได้เขียนโปรแกรมแฮ็กระบบควบคุมการผลิต รวมถึงขโมยข้อมูลลับออกไปให้บุคคลภายนอก ล่าสุด Tesla ได้สั่งฟ้องพนักงานคนนี้แล้ว

ตามข่าวระบุว่าพนักงานคนนี้ชื่อ Martin Tripp เคยเป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคในกระบวนการผลิต (Process technician) โดยในเอกสารสั่งฟ้องระบุว่า Tripp ยอมรับว่าได้เขียนโปรแกรมแฮ็กระบบ Manufacturing Operating System (MOS) และได้ถ่ายโอนข้อมูลขนาดหลายกิกะไบต์ของ Tesla ไปให้บุคคลภายนอก ซึ่งข้อมูลดังกล่าวประกอบไปด้วยรูปถ่ายและวิดีโอภายในระบบการผลิตที่เป็นความลับจำนวนมาก นอกจากนี้ Tesla ยังระบุว่า Tripp ใช้วิธีเขียนโปรแกรมให้ถ่ายโอนข้อมูลดังกล่าวออกไปภายนอกเป็นช่วงๆ

ท่ามกลางกระแสเกม Battle Royale ที่ถูกปลุกกระแสโดย PUBG จนมีเกมสไตล์เดียวกันออกมามากมาย หนึ่งในเกมที่กำลังนิยมอยู่ในเวลานี้ก็หนีไม่พ้น Fortnite จากค่าย Epic Games ที่เพิ่งเพิ่มโหมด Battle Royale เข้ามา ก่อนที่ล่าสุด Epic Games Korea สาขาในเกาหลีใต้จะถูก PUBG Corp. ยื่นฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์

PUBG อ้างว่า Fortnite เลียนแบบองค์ประกอบหลักของเกม, ไอเท็ม, และอินเทอร์เฟส อาทิ ปืน, เข็มทิศ, แผนที่ไปจนถึงจำนวนผู้เล่นสูงสุดและระบบฟื้นเลือด อย่างไรก็ตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิจะให้ความสำคัญกับการเลียนแบบของอะไรที่เป็นรูปธรรมมากกว่าอย่างโค้ด, ศิลป์และเสียงเพลงประกอบมากกว่าแค่ไอเดีย

หลังจากการพิจารณาคดีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ มีการพูดถึงว่าควรมีการออกกฎหมายที่ร่วมสมัยกว่ากฎหมายเดิมที่ใช้ตั้งแต่ปี 1986 ว่าจะเป็นวิธีการยุติข้อพิพาทได้

ต่อมาเมื่อวันที่ 22 มีนาคม สภาคองเกรสลงมติให้ผ่านร่างรัฐบัญญัติสร้างความชัดเจนทางกฏหมายของการใช้งานข้อมูล (Clarifying Lawful Overseas Use of Data Act หรือ CLOUD Act) เป็นกฎหมายต่อไป

สัปดาห์ต่อมา ทั้งไมโครซอฟท์และกระทรวงยุติธรรมแถลงขอให้ศาลจำหน่ายคดี เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวระบุไว้อย่างชัดแจ้งแล้วว่าทางศาลสหรัฐฯ มีอำนาจออกหมายค้นข้อมูลดังกล่าวได้ และบริษัทมีสิทธิคัดค้านได้ว่าหมายดังกล่าวขัดกับกฎหมายของต่างประเทศ

BlackBerry ยื่นฟ้อง Snap ผู้ให้บริการแอพ Snapchat ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีส่งข้อความ หลังจากก่อนหน้านี้ BlackBerry ก็ฟ้อง Facebook ในลักษณะคล้ายกันมาแล้ว

สำหรับสิทธิบัตรที่ BlackBerry อ้างว่า Snap ได้ละเมิด เช่น การปรับปรุงแผนที่สำหรับอุปกรณ์พกพา, เทคนิคการโฆษณา, การปรับปรุง UI สำหรับอุปกรณ์พกพา โดยยกตัวอย่างว่าฟีเจอร์ที่ละเมิดสิทธิบัตรคือ Snap Maps และการแสดงข้อความที่ไม่ได้อ่านบนจุดแจ้งเตือน

BlackBerry ต้องการให้ Snap ชดใช้ค่าเสียหายที่ทางบริษัทได้ใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของ BlackBerry อย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงค่าใช้จ่ายทนายความตามสมควร และยกเลิกผลิตภัณฑ์ที่ละเมิดทั้งหมด

Niantic จัดงาน Pokemon Go Fest ในเมืองชิคาโกเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ทว่างานล่มไม่เป็นท่าจากปัญหาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งทาง Niantic ก็ประกาศคืนเงินให้ผูัเข้าร่วมงานทุกคน

ทว่ามีผู้เข้าร่วมงานหลายคนรู้สึกว่าการคืนเงินนั้นไม่เพียงพอ เพราะตนเดินทางมาไกล ทั้งค่าเดินทางค่าโรงแรมและต้องการค่าชดเชยเพิ่ม จึงรวมตัวกันฟ้องร้องแบบกลุ่มต่อ Niantic ล่าสุด TechCrunch ระบุว่า Niantic ยอมความแล้วและพร้อมจ่ายค่าชดเชยเป็นเงินทั้งหมด 1.575 ล้านดอลลาร์ โดยผู้ที่จะได้รับเงินจะต้องเคยเช็คอินในงาน Go Fest ผ่าน Pokemon Go มาก่อน ขณะที่ผู้เข้าร่วมที่ต้องการจะขอค่าชดเชยเกิน 107 ดอลลาร์ จะต้องมีใบเสร็จรับรองด้วย

ประเด็นขัดแย้ง Facebook/Cambridge Analytica ยังมีแง่มุมต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด Campbell Brown หัวหน้าฝ่ายข่าวของ Facebook ไปพูดที่งานสัมมนา Future of News ที่จัดโดยหนังสือพิมพ์ Financial Times และยอมรับว่า Facebook เคยขู่จะฟ้องหนังสือพิมพ์ The Guardian ที่เป็นผู้ออกมาแฉเรื่อง Cambridge Analytica

ในโพสต์ของ Mark Zuckerberg เขายอมรับว่า Facebook รู้เรื่องปัญหา Cambridge Analytica ครั้งแรกจาก The Guardian ในปี 2015 และล่าสุดก็ทราบข้อมูลสื่อสามรายจาก The Guardian, Channel 4 และ The New York Times ว่า Cambridge Analytica ไม่ได้ลบชุดข้อมูลที่เป็นปัญหาทิ้ง

BlackBerry ยื่นฟ้อง Facebook ในข้อหาเรื่องการละเมิดสิทธิบัตร ทั้งบริการหลัก Facebook และบริการในเครือคือ WhatsApp และ Instagram

สิทธิบัตรที่ BlackBerry อ้างว่า Facebook ละเมิดคือสิทธิบัตรเรื่องแอพส่งข้อความ โดยสิ่งที่ Facebook ละเมิด เช่น ระบบความปลอดภัย, UI, และฟังก์ชันต่าง ๆ ที่จำเป็นและทำให้ผลิตภัณฑ์ BlackBerry ประสบความสำเร็จกับแอพส่งข้อความ BBM เป็นรายแรก

BlackBerry อ้างว่า ฟีเจอร์ที่รวมอยู่ในสิทธิบัตร เช่น ระบบปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้, การนำเกมและระบบส่งข้อความมารวมกันบนมือถือ, การออกแบบการแจ้งเตือน, การแสดง timestamp ของข้อความ และความสามารถในการแท็กเพื่อนหรือครอบครัวในภาพ