Peter Kafka แห่ง Re/code รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวภายในว่า Twitter ได้กำหนดค่าเป็นพิเศษให้ไม่มีการแสดงโฆษณาแทรกใน Timeline ของผู้ใช้งานที่จัดเป็นระดับวีไอพี หรืออาจแสดงโฆษณาน้อยกว่าปกติ เพื่อจูงใจให้คนเหล่านั้นยังคงใช้ Twitter ต่อไป โดยความคิดนี้มาจากซีอีโอ Jack Dorsey เมื่อตอนเขาเข้ามารักษาการตำแหน่งซีอีโอ และเริ่มมีผลตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
แหล่งข่าวยังบอกว่าเกณฑ์การเลือกผู้ใช้ระดับวีไอพีนั้นมีหลายปัจจัยผสมกัน ไม่ใช่จำนวนทวีตหรือจำนวนผู้ติดตาม โดย Peter Kafka เองบอกว่าปัจจุบันเขาก็ไม่เห็นโฆษณาใน Twitter แล้ว โดยตัวเขามีผู้ติดตามประมาณ 7 หมื่นคน เช่นเดียวกับ Kara Swisher ผู้ก่อตั้ง Re/code ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคน ก็ไม่เห็นโฆษณา
กูเกิลเผยสถิติการบล็อคโฆษณาแย่ๆ (bad ads ครอบคลุมโฆษณาที่แฝงมัลแวร์ เนื้อหาที่เราไม่ต้องการ รวมถึงสินค้าปลอม) ในปี 2015 ว่าบล็อคโฆษณาไปถึง 750 ล้านชิ้น สถิติอื่นๆ มีดังนี้
ใครที่ติดตามวงการไอทีมายาวนาน น่าจะคุ้นเคยกับโฆษณาของ Intel ที่มาพร้อมกับสโลแกน Intel Inside (และเสียงประกอบ ตึ๊ง ตึ่งตึงตึ่งตึ๊ง) ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนโฆษณาที่ทำให้แบรนด์ Intel เป็นที่รู้จักเกินคาดในวงกว้าง ล่าสุด Intel ออกแคมเปญโฆษณาตัวใหม่ที่แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในอนาคตของบริษัทออกมาแล้ว
ในโฆษณาชุดใหม่ แม้จะยังใช้คำว่า Intel Inside เป็นสโลแกนดังเดิม แต่บริบทของ Intel เปลี่ยนไปจากเดิมที่เน้นเพียงแค่พีซี ได้กลายไปสู่ศูนย์กลางการประมวลผลของแทบทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ซึ่งตรงกับทิศทางการทำตลาดของ Intel ที่ขยายออกจากพีซีไปเน้นฝั่งองค์กร อุปกรณ์พกพา โดรน หรือแม้แต่เทคโนโลยีเพื่ออนาคตอย่างเซ็นเซอร์ต่างๆ และหุ่นยนต์ก็รวมอยู่ด้วย
เว็บไซต์ BuzzFeed รายงานข่าววงในว่า iAd แพลตฟอร์มโฆษณาที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนักของแอปเปิล (หลายคนอาจลืมไปแล้วว่ามีอยู่) อาจถูกลดความสำคัญลง โดยแอปเปิลจะยุบแผนกการขายโฆษณาด้วยเซลส์ และเปลี่ยนมาเป็นการขายผ่านระบบอัตโนมัติ (ลักษณะเดียวกับ AdWords) แทน
ภายใต้ระบบใหม่ เจ้าของสื่อ (publisher) สามารถเข้ามาขายพื้นที่โฆษณาผ่านซอฟต์แวร์ได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องผ่านตัวแทนของแอปเปิลอีกต่อไป ซึ่งในแง่หนึ่งอาจเป็นผลดีต่อ iAd ที่เปิดกว้างต่อเจ้าของสื่อมากขึ้น
แอปเปิลไม่แสดงความเห็นต่อข่าวลือนี้
ที่มา - BuzzFeed
Twitter ออกโฆษณาแบบใหม่ที่ตัวข้อความสามารถตอบโต้กับผู้ใช้งานได้ (conversational ads)
รูปแบบของโฆษณาตัวนี้จะคล้ายกับการทำโพลบน Twitter แต่แบรนด์จะส่งข้อความพร้อมตัวเลือกให้ผู้ใช้งานกด (call to action buttons) เช่น ให้เลือกโพสต์ข้อความที่มีแท็กอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อผู้ใช้กดแล้วจะแสดงข้อความพร้อมแท็กที่เลือกบนไทม์ไลน์ พร้อมเชิญชวนให้เพื่อนคนอื่นๆ มาร่วมตอบได้ด้วย
Twitter ระบุว่าโฆษณาแบบนี้จะช่วยแชร์ข้อความของแบรนด์ให้กระจายไปในวงกว้างขึ้น และถือเป็นการพูดคุยถึงแบรนด์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ (organic conversation)
ที่มา - Twitter Blog
Twitter มีโฆษณาแบบ Promoted Tweet มาตั้งแต่ปี 2010 รูปแบบการใช้งานคือแสดงทวีตจากสปอนเซอร์ให้ผู้ใช้ที่ล็อกอินเห็น
ล่าสุดบริษัทขยายพื้นที่โฆษณานี้ไปยังผู้ที่เยี่ยมชมเว็บไซต์ Twitter.com แบบไม่ล็อกอิน (เช่น ค้นเจอจาก Google Search) เพื่อขยายฐานลูกค้าสำหรับการลงโฆษณาด้วย ถึงแม้ผู้ใช้ที่ไม่ได้ล็อกอินจะไม่มีหน้า Timeline ของตัวเอง แต่ข้อความโฆษณาเหล่านี้ยังสามารถแสดงผลในหน้า Profile ของคนอื่นที่เข้าไปดูได้
ที่มา - Twitter Blog
Mozilla ปรับนโยบายการแสดงโฆษณาในหน้า New Tab ของ Firefox หลังใช้งานมาได้ราวครึ่งปี และพบว่าไม่ได้ผลมากนัก
การเปลี่ยนแปลงจะค่อยเป็นค่อยไป (คาดว่าเป็นเพราะสัญญาที่ทำไว้กับบริษัทที่มาลงโฆษณา) และ Firefox จะหยุดแสดงโฆษณาทั้งหมดในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า
เมื่อเร็วๆ นี้เพิ่งมีข่าว Google Search เพิ่มฟีเจอร์ App Streaming โชว์หน้าจอภายในแอพโดยไม่ต้องติดตั้ง ล่าสุดกูเกิลขยายฟีเจอร์ลักษณะเดียวกันมายังโฆษณาบนมือถือแล้วครับ
โฆษณาแบบใหม่ของกูเกิลเรียกว่า Trial Run Ads ผู้ใช้สามารถลองเล่นแอพที่โฆษณาในระบบของ AdMob ได้โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งแอพก่อน วิธีการทำงานคือแอพจะรันบนเซิร์ฟเวอร์ของกูเกิล แล้วสตรีมหน้าจอมายังเครื่องของเราได้นานไม่เกิน 60 วินาที (เป็นแอพจริงที่กดได้จริง ไม่ใช่การบันทึกวิดีโอ)
เมื่อเดือนตุลาคมเพิ่งมีรายงานว่าผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายสัญชาติจาไมกา Digicel ออกมาขู่เครือข่ายโฆษณาออนไลน์รายใหญ่อย่าง กูเกิล เฟซบุ๊ก และยาฮูว่าจะบล็อคโฆษณาถ้าหากว่าไม่จ่ายค่าธรรมเนียม ล่าสุด EE ผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายรายใหญ่ของอังกฤษออกมาประกาศเกี่ยวกับการบล็อคโฆษณาบ้างแล้ว
ความขัดแย้งระหว่างเว็บไซต์รายใหญ่ที่หารายได้จากโฆษณา กับผู้ใช้ที่ติดตั้งซอฟต์แวร์ Ad Blocker บล็อคโฆษณายังดำเนินต่อไป ก่อนหน้านี้เราเคยเห็นข่าว YouTube แสดงโฆษณาแบบกดข้ามไม่ได้ ถ้าหากผู้ชมติดตั้ง Ad Blocker ล่าสุดเป็นคิวของยาฮูบ้าง
มีผู้ใช้ Yahoo Mail หลายรายที่เข้าเว็บผ่าน Chrome และติดตั้ง Adblock Plus รายงานว่าไม่สามารถใช้งานได้ โดยยาฮูแสดงข้อความว่าไม่สามารถแสดงผล Yahoo Mail ได้ และขอให้ปิดการทำงานของ Ad Blocker ก่อนใช้งาน
ตัวแทนของยาฮูชี้แจงประเด็นนี้สั้นๆ เพียงว่ายาฮูทดสอบฟีเจอร์ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา และการทดสอบครั้งนี้เกิดขึ้นกับผู้ใช้ในสหรัฐจำนวนหนึ่งเท่านั้น
กูเกิลเริ่มส่งอีเมลแจ้งนักพัฒนาใน Google Play Store ขอให้ระบุว่าแอพของตัวเองมีโฆษณาหรือไม่ เพราะในปีหน้า Google Play Store จะเริ่มแสดงป้ายกำกับว่าแอพนั้นมีโฆษณา เพื่อให้ผู้ใช้ทราบข้อมูลก่อนดาวน์โหลด
ถ้าหลังวันที่ 11 มกราคม 2016 นักพัฒนายังไม่ระบุข้อมูลนี้ แอพนั้นจะไม่สามารถอัพเดตเวอร์ชันใหม่ผ่าน Google Play Developer Console ได้
เมื่อต้นปี กูเกิลเปิดตัวโครงการ Designed for Families กำหนดให้นักพัฒนาที่อยากเข้าร่วมโครงการแอพปลอดภัยสำหรับเด็กและครอบครัว ต้องมีระบบเรตติ้งเนื้อหาภายในแอพและโฆษณา รอบนี้กูเกิลบอกว่าต้องการขยายแนวทางนี้ให้ครอบคลุมแอพทุกตัวบน Play Store ด้วย
เป็นที่ทราบกันว่า Facebook มาเปิดสำนักงานใหญ่ที่ประเทศไทยได้ระยะหนึ่งแล้ว (ข่าวเยี่ยมชมสำนักงาน) ล่าสุดเริ่มเดินเครื่องกระตุ้นธุรกิจในไทยด้วยการส่งเจน แชทเทิล ประธานฝ่ายเทคโนโลยีและกลยุทธ์การสื่อสารผ่านมือถือ มาโชว์ผลการศึกษาที่ว่าทำไมการลงโฆษณากับ Facebook ถึงดีกว่าที่ไหนๆ
ผลการศึกษาที่ Facebook นำมาโชว์ให้กับสื่อมวลชนเป็นข้อมูลที่เก็บมาจากพฤติกรรมการใช้งานในปัจจุบัน ซึ่งเทรนด์ในตอนนี้จะเห็นว่าผู้คนหันมาบริโภคสื่อแบบมัลติสกรีนมากขึ้น เช่นดูทีวีไปพลาง เลื่อนอ่านข่าวในมือถือในพลาง ตัวเลขนี้สูงถึง 42% โดยส่วนสัดส่วนของคอนเทนต์ที่เกี่ยวโยงกันระหว่างมือถือ และสิ่งที่ดูในทีวีนั้นอยู่ที่ 49% (เกี่ยว) และ 51% (ไม่เกี่ยว)
PewDiePie หรือ Felix Kjellberg ดาราชื่อดังบน YouTube (ข่าวเก่า) ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับ YouTube Red ของกูเกิล ว่าในมุมมองของเขาแล้ว กูเกิลออกบริการ YouTube Red แบบเก็บเงินขึ้นมา เพราะรายได้จากค่าโฆษณาลดลง หลังซอฟต์แวร์พวก ad blocker ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
เขาสอบถามแฟนๆ ผ่าน Twitter ว่าใช้ ad blocker กับ YouTube หรือไม่ ซึ่งคำตอบที่ได้คือประมาณ 40% ใช้บล็อคโฆษณา เพิ่มจากในอดีตที่ใช้งานกันราว 15-20% เท่านั้น
เขาบอกว่าไม่มีปัญหาที่วิดีโอของเขาจะถูกบล็อคโฆษณา แต่ก็ขอให้เข้าใจว่าผู้สร้างวิดีโอรายเล็กๆ จะอยู่ยากเพราะรายได้จากค่าโฆษณาลดลง และการใช้ ad block ไม่ได้แปลว่าคุณฉลาดกว่าระบบแต่อย่างใด
ในขณะที่คอนเทนต์ประเภทวิดีโอเป็นคอนเทนต์ที่ Facebook ค่อนข้างให้ความสนใจจนแบรนด์ใหญ่ๆ ก็หันมาทำโฆษณาประเภทวิดีโอกันมากขึ้นนั้น ก็ยังมีข้อจำกัดในกรณีที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วต่ำอาจจะไม่สนใจกดดูวิดีโอเพราะเสียเวลามากเกินไป Facebook จึงได้ทำโฆษณาประเภท Slideshow ขึ้น โดยจะสามารถใส่รูปได้ 3-7 รูป และแปลงเป็นความยาวของสไลด์โชว์ได้ 5-15 วินาที
Facebook กล่าวว่าไฟล์สไลด์โชว์ที่แปลงออกมานั้นจะมีขนาดเล็กกว่าวิดีโอที่มีความยาวเท่ากันถึง 5 เท่า ดังนั้นโฆษณาประเภทนี้อาจจะเข้าถึงกลุ่มคนที่ใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วต่ำได้ดีกว่าเดิม
ตอนนี้มีแบรนด์ที่นำร่องโฆษณาประเภทนี้ไปแล้วได้แก่ Coca-Cola ในแอฟริกา
หลังจากที่ทวิตเตอร์เคยมีโฆษณาเมื่อปี 2012 (โฆษณาเป็นอย่างไรก็ไม่มีข้อมูลเหมือนกัน) ในปีนี้ทวิตเตอร์ได้ทำโฆษณาออกทีวีมาอีกครั้ง โดยเนื้อหามุ่งเน้นการโปรโมตให้ผู้ใช้เข้ามาดูคอนเทนต์ในสิ่งที่สนใจผ่าน Moments ได้ โดยการติดตามการแข่งขันเบสบอลมาเป็นกรณีตัวอย่าง
โฆษณาดังกล่าวใช้เอเจนซี่ TBWA\Chiat\Day ซึ่งเป็นเอเจนซี่ที่เคยทำโฆษณาให้แอปเปิลในปี 1984
ดูโฆษณาของทวิตเตอร์ได้ท้ายเบรก
ที่มา - The Verge
Blognone เคยเขียนถึง AdsOptimal สตาร์ตอัพคนไทยในซิลิคอนวัลเลย์ไปแล้วครั้งหนึ่ง บริษัทนี้ทำเครือข่ายโฆษณา (ad network) เน้นไปที่เว็บสำหรับอุปกรณ์พกพา (mobile web) เป็นหลัก
แต่ล่าสุดเมื่อโลกไอทีเริ่มขยับไปสนใจเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) ดังที่เราเห็นจากข่าวของ Oculus Rift หรือ Google Cardboard ทางบริษัท AdsOptimal เองก็เดินหน้าพัฒนาระบบโฆษณาของตัวเองให้รองรับเทคโนโลยี VR เช่นกัน
หลังจาก สมาคมโฆษณาออนไลน์ IAB ออกมาตอบโต้การใช้ซอฟต์แวร์ ad blocker ในอีกทางหนึ่ง IAB ก็พัฒนามาตรฐานโฆษณาออนไลน์แบบใหม่ที่ไม่รบกวนผู้บริโภค
ล่าสุด IAB ประกาศแนวทางโฆษณาแบบใหม่ โดยใช้ตัวย่อว่า L.E.A.N
IAB จะเปิดรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อร่างเอกสารทางเทคนิคโดยอิงจากหลักการ 4 ข้อข้างต้นต่อไป
ที่มา - IAB
ผู้ผลิตพีซีสามรายใหญ่ของโลก ได้แก่ Dell, HP, Lenovo ร่วมกับอินเทลและไมโครซอฟท์ เปิดตัวแคมเปญโฆษณาใหม่ "PC Does What?" (แปลไทยประมาณว่า "พีซีทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ") โดยมีเป้าหมายเพื่อชูความสามารถของพีซี ให้คนทั่วไปรับรู้ว่าพีซีสามารถทำงานต่างๆ เหล่านี้ได้
แคมเปญนี้จะเปิดตัววันที่ 19 ตุลาคมนี้ แต่จากคลิปโฆษณาชิ้นแรกที่อินเทลโพสต์บน YouTube เราพอเห็นภาพว่าชูจุดขายเรื่องการพับจอเป็นแท็บเล็ตได้ ระบบเสียงคุณภาพเยี่ยม และแบตเตอรี่อยู่ได้นาน โดยใช้อุปกรณ์สาธิตเป็นโน้ตบุ๊กจากผู้ผลิตทั้งสามรายอย่างเท่าเทียมกัน
ตามข่าวบอกว่าแคมเปญโฆษณาชุดนี้ใช้งบประมาณทั้งหมด 70 ล้านดอลลาร์
หนึ่งในช่องทางการหารายได้ของบรรดาบริษัทให้บริการบนอุปกรณ์พกพาคงหนีไม่พ้นการแสดงโฆษณา แม้แต่รายใหญ่อย่างกูเกิล ยาฮู และเฟซบุ๊กก็ถูกรวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ล่าสุดมีรายงานว่าผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือกำลังจะเข้ามามีบทบาทกับเม็ดเงินก้อนใหญ่นี้แล้ว
Digicel ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือสัญชาติจาเมกาเพิ่งประกาศแผนการบล็อคโฆษณาบนอุปกรณ์พกพาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยจะมีผลไม่ว่าผู้ใช้จะติดตั้งแอพบล็อคโฆษณาหรือไม่ เพื่อบีบให้เจ้าของธุรกิจเครือข่ายโฆษณารายใหญ่อย่างกูเกิล ยาฮู เฟซบุ๊ก และรายอื่นๆ เข้ามาเซ็นสัญญาแบ่งปันรายได้โฆษณากับทาง Digicel โดยอ้างว่าโฆษณาเหล่านี้กินแบนด์วิดท์ของเครือข่ายฟรีๆ เพื่อสร้างรายได้ของตัวเอง ทำให้ผู้ใช้ต้องเสียปริมาณข้อมูลไปโดยไม่จำเป็น
AdBlock ส่วนขยายสำหรับบล็อคโฆษณาบน Chrome (คนละตัวกับ AdBlock Plus ชื่อมันจะสับสนหน่อยนะครับ) ประกาศขายกิจการให้ผู้ซื้อไม่ระบุชื่อ และเข้าร่วมโครงการ Acceptable Ads หรือรายชื่อ whitelist โฆษณาคุณภาพที่ริเริ่มโดย AdBlock Plus
AdBlock Plus เพิ่งประกาศนโยบายใหม่ของโครงการ Acceptable Ads ว่าจะยกอำนาจตัดสินใจว่าโฆษณาไหนจะเข้า whitelist ให้กับ "คณะกรรมการคนนอก" เพื่อลดข้อครหาว่า AdBlock Plus รับเงินเพื่อแลกกับการนำเข้า whitelist
ทางนักพัฒนา AdBlock ระบุว่าตอนแรกไม่ชอบนโยบายรับเงินของ AdBlock Plus แต่เมื่อนโยบายเปลี่ยนแปลง เขาก็ไม่คัดค้าน อีกทั้งเจ้าของรายใหม่ก็สนับสนุนให้เข้าร่วม Acceptable Ads ด้วย
สมาคมโฆษณาออนไลน์ Interactive Advertising Bureau (IAB) เตรียมรับมือซอฟต์แวร์บล็อคโฆษณา (ad blocker) ที่กำลังมาแรงในช่วงหลัง โดยตั้งทีมเทคนิคพัฒนาซอฟต์แวร์สคริปต์เพื่อให้เว็บไซต์ตรวจสอบว่าผู้ชมใช้ ad blocker หรือไม่
สคริปต์ดังกล่าวช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถแจ้งเตือนผู้ชมที่ใช้ ad blocker ขอให้ปลดการบล็อคโฆษณา หรืออาจบีบให้จ่ายเงินสมัครสมาชิกเพื่อเข้าชมเว็บก็ได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีความเป็นไปได้ที่ ad blocker จะบล็อคข้อความเหล่านี้ไปด้วยพร้อมกัน ซึ่งทาง IAB ก็ระบุว่าจะหาทางแก้ไขต่อไป
ในอีกด้าน IAB ก็เตรียมออกคำแนะนำเรื่องโฆษณาที่เหมาะสม ไม่ทำให้หน้าเว็บรก ไม่มีขนาดใหญ่จนเปลืองปริมาณข้อมูล เป็นต้น
กูเกิลประกาศเพิ่มฟีเจอร์ให้แพลตฟอร์มโฆษณาของตัวเอง (Search, Gmail, YouTube) โดยออกสุดยอดฟีเจอร์สำหรับนักโฆษณา (แต่สุดสะพรึงสำหรับผู้ใช้) ชื่อว่า Customer Match ที่เปิดให้ผู้ลงโฆษณาระบุตัวตนของคนที่อยากให้เห็นโฆษณา ได้ละเอียดระดับอีเมล
วิธีการใช้งานคือผู้ลงโฆษณาสามารถอัพโหลดรายการอีเมลของกลุ่มเป้าหมายตอนสร้างแคมเปญ เพื่อเจาะจงการแสดงโฆษณาให้กับผู้ใช้ (ที่ล็อกอินบัญชีของกูเกิลอยู่) แบบรายตัวได้เลย
กูเกิลยกตัวอย่างฟีเจอร์นี้ว่าเหมาะสำหรับบริษัทที่มีฐานลูกค้าของตัวเองอยู่แล้ว (เช่น สมาชิกแบบสะสมแต้ม) และต้องการออกโปรโมชั่นใหม่สำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ ก็สามารถใช้ Customer Match เพื่อให้การแสดงโฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้น
วันนี้มีผู้ใช้ Chrome จำนวนหนึ่งรายงานว่าส่วนขยายสำหรับบล็อคโฆษณา ไม่สามารถบล็อคโฆษณาประเภทวิดีโอบน YouTube ได้ โดยเกิดกับส่วนขยายที่ใช้บล็อคโฆษณาทุกตัว ไม่จำกัดแค่ตัวดังๆ อย่าง AdBlock หรือ AdBlock Plus เท่านั้น
อาการที่เกิดขึ้นคือ YouTube จะเช็คว่าเรามีส่วนขยายบล็อคโฆษณาติดตั้งอยู่หรือไม่ ถ้าติดตั้งอยู่จะแสดงโฆษณาวิดีโอแบบ pre-roll (วิดีโอโฆษณาก่อนเริ่มวิดีโอจริง) แถมยังไม่สามารถกดข้ามโฆษณาได้อีกด้วย ทางแก้คือปิดการทำงานของ AdBlock หรือเพิ่ม YouTube ใน whitelist ของระบบให้แสดงโฆษณา
อิทธิพลของ Material Design ไม่ได้อยู่แค่แอพของกูเกิลเท่านั้น แต่ยังลามไปถึง "โฆษณา" ในระบบของ AdMob และ DoubleClick ด้วย
กูเกิลประกาศปรับฟอร์แมตของโฆษณาแอพแบบเต็มหน้าจอ (full-screen ads) ใหม่ โดยปรับหน้าตาโฆษณาให้สะอาดขึ้น ใช้ปุ่มติดตั้งเป็นวงกลมแบบเดียวกับ Material Design แถมแถบสีด้านล่างและสีของปุ่มยังปรับเปลี่ยนอัตโนมัติ จากภาพ cover ของแอพนั้นด้วย
กูเกิลบอกว่าทดสอบโฆษณารูปแบบต่างๆ มาถึง 10 แบบกว่าจะลงตัวว่าโฆษณาแบบไหนสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้มากที่สุด และมีอัตราการคลิกเพิ่มขึ้น ตอบโจทย์ผู้ลงโฆษณาไปพร้อมกัน
ที่มา - Inside AdWords
ชะตากรรมของ Flash เริ่มถูกทอดทิ้งมากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดเป็น Amazon ที่ปรับเงื่อนไขการลงโฆษณาบนเว็บ Amazon.com และเครือข่าย Amazon Advertising Platform แบบเงียบๆ ว่าไม่รองรับโฆษณาแบบ Flash แล้ว
เหตุผลของ Amazon เป็นเรื่องความปลอดภัยของ Flash ที่เว็บเบราว์เซอร์เริ่มบล็อคเนื้อหาจาก Flash กันแล้ว (ทั้ง Chrome, Firefox, Safari) ทำให้โฆษณารูปแบบ Flash มีโอกาสถูกเห็นโดยผู้ใช้น้อยลง การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2015 เป็นต้นไป บริษัทแนะนำให้ใช้โฆษณาเป็นภาพหรือ HTML แทน
ปัจจุบัน Amazon มีส่วนแบ่งตลาดโฆษณาออนไลน์ 3% ถึงแม้จะไม่ใหญ่ขนาด Google/Facebook แต่นโยบายการเลิกใช้ Flash ย่อมส่งผลสะเทือนต่อวงการไม่น้อย