Udacity เปิดชุดวิชาวิศวกรรมรถอัตโนมัติ (self-driving car engineer) พร้อมกับสร้างสภาพแวดล้อมจำลองด้วย Unity เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับบังคับรถในสภาพแวดล้อมจำลอง โดยทุกคนสามารถนำไปใช้งานได้ฟรี
การสร้างรถยนต์ไร้คนขับของจริงนั้นมีต้นทุนที่แพง ก่อนหน้านี้นักวิจัยจำนวนมากก็ใช้เกมอย่าง GTA เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ก่อนจะสร้างรถจริงอยู่แล้ว
นักวิจัยจาก École Polytechnique Fédérale de Lausanne (EPFL) จากเมืองโลซานประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้สร้างระบบเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างรถยนต์ผ่านระบบ Wi-Fi ขึ้นมาสำหรับรถยนต์ไร้คนขับ โดยรูปแบบการทำงานจะคล้ายๆ กับที่ใช้งานอยู่ใน Truck Platoon เพียงแต่ระบบนี้มีความยืดหยุ่นกว่ามาก
Uber เซ็นสัญญาเป็นพาร์ทเนอร์กับ Diamler บริษัทรถยนต์สัญชาติเยอรมันผู้ผลิต Mercedes-Benz โดยทาง Uber จะนำรถยนต์ไร้คนขับของ Diamler (ที่พัฒนาขึ้นมาเอง Uber ไม่ได้มีส่วนร่วมตรงนี้) มาวิ่งในบริการบนแพลตฟอร์มภายใน 1-2 ปีข้างหน้านี้
อย่างไรก็ตามสัญญาพาร์ทเนอร์นี้ไม่ใช่สัญญาแบบ exclusive ทาง Uber สามารถเป็นพาร์ทเนอร์กับผู้ผลิตรถเจ้าอื่น ในการนำรถมาวิ่งบน Open Platform ของตัวเองได้ (เช่นเดียวกับที่เซ็นสัญญากับ Volvo และ Ford ในการนำ XC90 และ Ford Fusion มาวิ่ง) ขณะที่ทาง Diamler เองก็สามารถเป็นพาร์ทเนอร์กับผู้ให้บริการ Ride-Sharing เจ้าอื่นได้เช่นกัน
Naver บริษัทด้านอินเทอร์เน็ตและบริษัทแม่ของ LINE เปิดเผยว่า Naver Labs บริษัทลูกในเครือกำลังพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับรถยนต์ไร้คนขับสำหรับธุรกิจ Ride-Sharing ในอนาคต (ยังอยู่ในช่วง R&D)
โฆษกของ Naver Lab ระบุว่าบริษัทต้องการจะบุกตลาดรถยนต์ไร้คนขับด้วยเช่นกัน แต่อย่างน้อยบริษัทยังไม่คิดจะเริ่มธุรกิจ Ride-Sharing ณ ตอนนี้ โดยเทคโนโลยีรถไร้คนขับของ Naver อยู่ในระดับ 3 หมายความว่ายังคงต้องมีคนนั่งอยู่หลังพวงมาลัย สำหรับกรณีฉุกเฉิน แต่ไม่จำเป็นต้องมีสมาธิกับถนนอยู่ตลอดเวลา
ก่อนหน้านี้ในปี 2016 Naver ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานความปลอดภัยด้านการขนส่งให้ติดตั้งเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติบนรถยนต์แล้ว แต่ยังคงรอใบอนุญาตขับขี่รถไร้คนขับจากกระทรวงคมนาคม
ภายในงานจัดแสดงนวัตกรรม 5G ของ Ericsson บริษัท Scania ผู้ผลิตรถบรรทุกระดับโลกได้มาออกงานด้วย โดยทาง Scania ได้ร่วมมือกับ Ericsson นำเทคโนโลยี 5G มาใช้เชื่อมต่อและติดตามรถบรรทุกไร้คนขับที่เรียกว่า Truck Platoon
Truck Platoon เป็นรูปแบบหนึ่งของการนำรถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัติมาประยุกต์ใช้ โดยในขบวนจะมีรถบรรทุกคันแรกที่มีคนขับ ส่วนที่เหลือจะขับตามคันแรก ซึ่งในหนึ่งขบวน ณ ตอนนี้รองรับรถบรรทุกได้เพียง 3-4 คันเท่านั้น ขณะที่ผู้บริหาร Scania ระบุว่ากำลังพัฒนาให้รองรับจำนวนให้มากขึ้นในอนาคต, พัฒนาให้เป็นรถขับเคลื่อนไร้คนขับเต็มรูปแบบ รองรับการปรับเปลี่ยนเส้นทางของรถบางคันในขบวน รวมถึงรองรับการเข้ามาแทรกขบวนของรถบรรทุกคันอื่น
เราเริ่มเห็นข่าวเมืองต่างๆ นำรถบัสหรือรถชัทเทิลไฟฟ้าแบบขับเคลื่อนอัตโนมัติมาทดสอบให้บริการกันมากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดเป็นคิวของกรุงปารีส ที่เริ่มทดสอบให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา และจะทดสอบเป็นระยะเวลาทั้งหมด 3 เดือน
รถบัสเป็นรรถบัสขนาดเล็กจุคนได้ประมาณ 10 คน มีเลนวิ่งเป็นของตัวเองเพื่อความปลอดภัย วิ่งเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟ 2 สถานี ทางตะวันออกของเมือง โดย Elisabeth Borne หัวหน้าฝ่ายเครือข่ายคมนาคมของปารีสยอมรับว่า ในระยะยาวอยากเห็นรถบัสไร้คนขับนี้ วิ่งรับส่งประชาชนในย่านชานเมืองกับสถานีรถไฟ ในการเดินทางเข้ามาทำงาน ซึ่งสามารถเรียกให้รถไปรับที่บ้านได้แบบ on-demand
หลังประสบความสำเร็จจากการเป็นพาร์ทเนอร์ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ให้กับ Tesla Motors ประกอบกับความต้องการจะเข้าไปทำธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ Kazuhiro Tsuga ซีอีโอของพานาโซนิตให้สัมภาษณ์กับ Reuters ว่าสนใจจะขยายความเป็นพาร์ทเนอร์กับ Tesla ด้านฮาร์ดแวร์มากขึ้น อย่างเซ็นเซอร์ เป็นต้น
ซีอีโอพานาโซนิคระบุว่า หนึ่งในเทคโนโลยีตรวจจับภาพที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาคือเซ็นเซอร์รับภาพที่เรียกว่า organic photoconductive film CMOS ซึ่งสามารถตรวจจับวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีการบิดเบี้ยว ซึ่งนอกจากเซ็นเซอร์แล้ว ยังมีหน้าจอบนที่นั่งคนขับและระบบนำทางด้วย
หากยังพอจำกันได้ ในช่วงเดือนกรกฎาคมปีนี้แล้ว เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงในรัฐฟลอริด้ากับ Tesla Model S ที่เปิดโหมด Autopilot จนนำมาสู่การตั้งคำถามมากมายถึงความปลอดภัยและน่าเชื่อถือระบบ Autopilot ก่อนที่ หน่วยงานกำกับดูแลความปลอดภัยบนทางหลวงของสหรัฐฯ (National Highway Traffic Safety Administration - NHTSA) จะเข้ามาสอบสวนเรื่องนี้และเพิ่งเปิดเผยรายงานออกมา
Amazon ได้จดสิทธิบัตรเป็นเจ้าของเครือข่ายเน็ตเวิร์คบนท้องถนน ที่สามารถควบคุมและติดต่อสื่อสารกับรถไร้คนขับ สำหรับการแก้ไขสถานการณ์ ในกรณีที่รถต้องเผชิญกับถนนหรือสถานการณ์ที่ไม่เคยถูกโปรแกรมหรือพบเจอมาก่อน
สิทธิบัตรมีการพูดถึงระบบจัดการท้องถนน (Roadway Management System) ที่มีไว้เพื่อกำหนดเลนของถนนให้กับรถไร้คนขับ ตามจุดหมายปลายทางของรถคันนั้นด้วย ขณะที่การจดสิทธิบัตรครั้งนี้ ช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับข่าวลือที่ว่า Amazon กำลังซุ่มพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ สำหรับขนส่งสินค้านอกเหนือจากโดรนมากยิ่งขึ้น
ที่มา - South China Morning Post
การเดินรถแบบเป็นช่วงเวลา เช่น ตอนเช้าเป็นขาเข้า ตอนเย็นเป็นขาออก ถือเป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่ท้าทายกับระบบรถยนต์ไร้คนขับอย่างมาก เพราะว่าตัวระบบของรถยนต์จะไม่มีทางรู้เลยว่าเวลาใดเดินรถทางไหน ล่าสุด Amazon ได้จดสิทธิบัตรใหม่เพื่อแก้ปัญหานี้แล้ว คือการสร้างเครือข่ายขึ้นมาเพื่อติดต่อกับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ โดยจะกำหนดให้รถยนต์นั้นเดินรถตามช่องทางได้ตามที่ระบบต้องการจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น ปริมาณรถยนต์, เส้นทางที่ต้องการไป เพื่อทำให้จราจรลื่นไหลได้ดีที่สุด
ขณะที่แคลิฟอร์เนียดูเหมือนจะเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและทดสอบรถไร้คนขับ แต่ทว่าลาส เวกัส มหานครแห่งแสงสีเสียงกลายเป็นแห่งแรกที่เริ่มนำรถชัทเทิลบัสไฟฟ้าขับเคลื่อนอัตโนมัติมาทดสอบให้บริการในย่าน Fremont East ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมาไปจนถึงวันที่ 20 มกราคมนี้ ตั้งแต่ 10 โมงถึง 6 โมงเย็น
รถชัทเทิลคันนี้ถูกเรียกว่า Arma พัฒนาโดยบริษัท Navya จากฝรั่งเศส ที่ร่วมมือกับ Keolis บริษัทด้านยานพาหนะขนส่งสาธารณะ สามารถรองรับผู้โดยสารได้ราว 12 คน สามารถวิ่งทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 27 ไมล์ต่อชั่วโมง (แต่ตอนทดสอบวิ่งทำความเร็วแค่ 12 ไมล์ต่อชั่วโมง) โดยรองประธานของบริษัท Navya เผยว่าค่าใช้จ่ายในการให้บริการรถชัทเทิลคันนี้อาจสูงถึงราว 10,000 เหรียญต่อเดือนเลยทีเดียว
ความหวังสำคัญของรถไร้คนขับคือการนำมาใช้เป็นรถโดยสาร ทำให้บริษัทแท็กซี่สามารถเพิ่มรถจำนวนมากๆ และให้บริการตลอดเวลาได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการจ้างงานคนขับ ล่าสุดใบยื่นขอสิทธิบัตรของกูเกิลที่ระบุถึงกระบวนการเลือกจุดรับส่งผู้โดยสารโดยรถไร้คนขับก็เพิ่งเผยแพร่ออกมาเมื่อปลายปีที่แล้ว
การเลือกจุดรับส่งผู้โดยสารเป็นเรื่องปกติเมื่อมนุษย์เป็นคนขับ เมื่อรถกำลังเดินทางมาจากอีกทาง คนขับก็อาจจะสื่อสารกับผู้โดยสารให้เดินไปยังจุดนัดใกล้เคียงเพื่อความสะดวก เช่น ให้ข้ามถนน หรือเดินไปที่หัวมุมถนน แต่สำหรับรถไร้คนขับกระบวนการเจรจาเช่นนี้อาจจะทำได้ลำบาก สิทธิบัตรของกูเกิลแสดงกระบวนการคัดเลือกจุดรับส่งผู้โดยสารเอาไว้
ไฮไลท์ของงาน North American International Auto Show ที่กำลังจัดขึ้นในเมืองดีทรอยท์คงหนีไม่พ้นรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไร้ขับ ซึ่ง Waymo บริษัทรถไร้คนขับของกูเกิลที่ไม่ได้มีรถยนต์มาโชว์ (โชว์ไปหมดแล้ว) ได้เปิดเผยว่ามีการปรับทิศทางการพัฒนารถไร้คนขับของบริษัท โดยหันมาพัฒนาเซ็นเซอร์และฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานบนรถทั้งหมดด้วยตัวเองแทน
John Krafcik ซีอีโอของ Waymo ขึ้นพูดคีย์โน้ตเปรียบเทียบการพัฒนาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไร้คนขับด้วยตัวเองทั้งหมดนี้ ช่วยให้ระบบต่างๆ ทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัวมากขึ้น รวมถึงลดระยะเวลาที่ใช้ในวงจรการพัฒนาทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ลงด้วย
ดูน่าจะตอบโจทย์ปัญหาคนขับรถตู้ซิ่ง วิ่งเร็วและหลับในที่กำลังเป็นกระแสในบ้านเราได้เป็นอย่างดีด้วยคอนเซ็ปของ I.D. Buzz รถมินิบัสไฟฟ้าขับเคลื่อนอัตโนมัติ จากค่ายรถยนต์เยอรมัน Volkswagen ที่ถูกนำมาโชว์ภายในงาน North American International Auto Show ในดีทรอยท์
I.D. Buzz เป็นรถมินิบัสที่มีแรงขับ 369 แรงม้า พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (มอเตอร์ 2 ตัว) สามารถวิ่งได้ราว 270 ไมล์ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง รองรับผู้โดยสารได้ 8 คน โดยเก้าอี้ภายในห้องโดยสารสามารถปรับเปลี่ยนทิศทางหรือองศาได้ตามใจชอบ ขณะที่ฝั่งคนขับค่อนข้างจะล้ำเหมือนออกมาจากภาพยนตร์ไซไฟเล็กน้อย ด้วยระบบการแสดงผล HUD แบบ Augmented Reality บนพวงมาลัย พร้อมรองรับระบบสัมผัส
อย่างที่ทราบกันว่านิสสัน ค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในผู้พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและรถไร้คนขับ ที่กำลังจะมีบทบาทบนท้องถนนในอีก 5 ปีข้างหน้าเป็นอย่างเร็ว และบนเวที CES 2017 นิสสันก็ประกาศความร่วมมือกับโครงการ 100 Resilient Cities โครงการไม่แสวงหาผลกำไร เพื่อวางรากและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับรถไร้คนขับและรถไฟฟ้า
Carlos Ghosn ซีอีโอนิสสันขึ้นแสดงวิสัยทัศน์ว่า การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีในลักษณะนี้ไม่ได้เกิดจากตัวรถหรือบริษัทรถยนต์ แต่เป็นประชากรและตัวเมือง ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการเปลี่ยนผ่านนี้จะเกิดขึ้นได้ บริษัทรถยนต์หรือเทคโนโลยีจะต้องทำงานร่วมกับเมือง เพื่อให้เทคโนโลยีและแผนนโยบายเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ค่ายรถยนต์ Nissan ประกาศเตรียมวางจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ายอดนิยม Nissan Leaf รุ่นใหม่ ที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ProPilot ในอนาคตอันใกล้
ProPilot เป็นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Nissan ที่เคยเปิดตัวบนรถมินิแวน Serena ในญี่ปุ่นในช่วงกลางปีที่แล้ว โดยยังสามารถใช้งานได้เฉพาะบนทางหลวงก่อนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม Nissan ไม่ได้ให้รายละเอียดถึงเวลาวางจำหน่ายและราคาของ Nissan Leaf ครับ
ที่มา - The Verge
NVIDIA เน้นหนักยุทธศาสตร์เรื่องคอมพิวเตอร์สำหรับรถยนต์มากในช่วงหลัง นอกจากความร่วมมือพัฒนารถยนต์ไร้คนขับกับ Audi บริษัทยังประกาศความร่วมมือกับบริษัทแผนที่อีก 2 ราย
รายแรกไม่ผิดคาดนักคือ HERE ที่ Audi ถือหุ้นอยู่ (เท่ากับว่า HERE มีความร่วมมือกับทั้งอินเทลและ NVIDIA) โดย HERE จะนำเทคโนโลยี NVIDIA MapWorks AI ไปใช้พัฒนาระบบแผนที่ของตัวเอง ในขณะที่ NVIDIA จะนำแผนที่ HERE HD Live Map ไปใช้ในซอฟต์แวร์ควบคุมรถ NVIDIA DriveWorks ของตัวเอง
เราเห็นข่าว BMW จับมืออินเทล พัฒนา Series 7 ไร้คนขับ โดยตั้งเป้าพัฒนาให้สำเร็จภายในปี 2021 กันไปแล้ว
วันนี้อีกขั้วคือ NVIDIA กับ Audi ก็ประกาศความเป็นพันธมิตรในลักษณะเดียวกัน โดยจะสร้างรถยนต์ไร้คนขับที่ใช้แพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์ NVIDIA Drive PX เป็นตัวประมวลผล บวกกับซอฟต์แวร์ NVIDIA DriveWorks และ NVIDIA PilotNet ที่ทำเรื่อง neural network
นอกจากนี้ ในงาน NVIDIA ยังโชว์วิดีโอรถยนต์ไร้คนขับรุ่นต้นแบบของตัวเองในชื่อ BB8 ที่อยู่บนแพลตฟอร์ม Drive PX/DriveWorks/PilotNet ด้วย
ภายในงาน CES 2017 ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเกาหลีอย่าง Hyundai ได้เผยโฉมพร้อมเปิดให้สื่อได้ทดลองนั่งรถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับของตัวเองเป็นครั้งแรก โดยรถยนต์ที่นำมาดัดแปลงเป็นรุ่น Iconiq รถยนต์ไฟฟ้าที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว
รถยนต์ Iconic มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 28 kWh วิ่งได้ประมาณ 250 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ขณะที่รถยนต์ไร้คนขับนี้ทาง Hyundai ระบุว่าได้ใช้เซ็นเซอร์ที่ถูกกว่า รวมถึงไม่ได้มาพร้อมกับระบบประมวลผลที่จัดเต็มเหมือนเจ้าอื่นๆ ทำจะทำให้เมื่อวางจำหน่ายจริง ราคาค่าตัวของรถไร้คนขับจากค่ายเกาหลี จะมีราคาถูกกว่ายี่ห้ออื่น
ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางปัญหาการเงินภายใน แต่ล่าสุด Faraday Future ได้เผยโฉมหน้าของ FF91 รถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับคันแรกออกมาแล้วภายในงาน CES 2017
Faraday Future ระบุว่า FF91 มาพร้อมกับแรงขันถึง 1,050 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0 ถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมงภายใน 2.39 วินาที แบตเตอรีความจุ 130 kWh สามารถวิ่งได้ราว 700 กิโลเมตร มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ตรวจจับใบหน้า (Facial Recognition) สำหรับปลดล็อครถและรองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน สามารถสั่งให้ FF91 วิ่งหาที่จอดและถอยเข้าซองได้ด้วยตัวเองผ่านสมาร์ทโฟน และเซ็นเซอร์ LIDAR บนกระโปรงหน้า พร้อมกล้องรอบคัน รองรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในอนาคต
อินเทลเปิดตัว Intel GO ชุดประมวลผลสำหรับรถยนต์ไร้คนขับ (ชื่อเต็มๆ ยาวมากครับคือ Intel® GO™ In-Vehicle Development Platforms for Automated Driving)
Intel GO ประกอบด้วยซีพียู, ตัวเร่งการประมวลผล FPGA Arria 10, สวิตช์ Ethernet, ไมโครคอนโทรลเลอร์ Infineon AURIX
ชุด Intel GO แบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อยคือรุ่นเล็กใช้ซีพียู Atom รุ่นหน้าที่ยังไม่เปิดตัว และรุ่นใหญ่ที่ใช้ Xeon รุ่นหน้า 2 ตัวทำงานคู่กัน แยกแรมและ FGA เป็น 2 ชุดเพื่อสมรรถนะสูงสุดด้วย
BMW ประกาศจับมือกับ Intel และ Mobileye ตั้งแต่ปีที่แล้ว และตอนนี้ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีพร้อมแล้ว บริษัทประกาศว่าจะเริ่มทดสอบ BMW Series 7 แบบไร้คนขับ ลงถนนจริงในช่วงครึ่งหลังของปี 2017
รถยนต์ไร้คนขับที่ใช้ทดสอบมีประมาณ 40 คัน โดย BMW จะรับผิดชอบส่วนของการควบคุมและระบบความปลอดภัยโดยรวม ส่วน Intel รับผิดชอบด้านการประมวลผลทั้งในตัวรถยนต์และฝั่งเซิร์ฟเวอร์ ด้วยโซลูชันตัวใหม่ Intel Go ที่เพิ่งเปิดตัวในวันนี้ และ Mobileye พัฒนาหน่วยประมวลผล EyeQ 5 สำหรับประมวลผลภาพที่ได้จากเซ็นเซอร์และกล้อง ก่อนส่งไปยังระบบของ Intel ต่อไป
การทดสอบของ BMW จะเริ่มจากในสหรัฐและยุโรปก่อน แต่ยังไม่ระบุพื้นที่เมืองหรือช่วงเวลาอย่างเจาะจง
เมื่อเร็วๆ นี้เราเพิ่งเห็นข่าว HERE ขายหุ้น 10% ให้บริษัทจีน Tencent, NavInfo และกองทุน GIC ของสิงคโปร์ ล่าสุด HERE ประกาศขายหุ้นอีก 15% ให้กับผู้ผลิตชิปรายใหญ่อย่างอินเทล
การซื้อหุ้นของอินเทลจะเป็นการซื้อจากผู้ถือหุ้นเดิมคือบริษัทรถยนต์เยอรมัน 3 ราย ได้แก่ Audi, BMW, Daimler (Mercedes-Benz) หลังซื้อหุ้นแล้ว อินเทลยังจะเข้าไปร่วมพัฒนาสถาปัตยกรรมฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่สำหรับรถยนต์ไร้คนขับ และแผนที่ความละเอียดสูงที่อัพเดตเรียลไทม์
Mobileye บริษัทรถยนต์ไร้คนขับชื่อดังจากอิสราเอล (เปิดกิจการมาตั้งแต่ปี 1999) ประกาศความร่วมมือกับบริษัทแผนที่ HERE เพื่อพัฒนาระบบแผนที่ร่วมกัน
บริษัทรถยนต์ Ford เปิดตัวรถยนต์ไร้คนขับรุ่นที่สอง ที่พัฒนาต่อจาก Ford Fusion Hybrid รุ่นวิจัยในปี 2013
รถยนต์ไร้คนขับรุ่นที่สองยังใช้ Ford Fusion Hybrid เป็นฐาน แต่เปลี่ยนมาใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติรุ่นใหม่ล่าสุด เปลี่ยนฮาร์ดแวร์ใหม่ที่มีสมรรถนะสูงขึ้น ปรับปรุงเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ LIDAR ใหม่ให้มองภาพได้กว้างขึ้น และลดจำนวนเซ็นเซอร์จาก 4 ชุดมาเหลือแค่ 2 ชุด