Automobile
Mazda เป็นหนึ่งในค่ายรถรายใหญ่เพียงไม่กี่ค่าย ที่ยืนหยัดใช้ระบบ infotainment ของตัวเอง และไม่รองรับการเชื่อมต่อกับ Android Auto/Apple CarPlay สักที
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด Mazda USA ให้ข้อมูลกับเว็บไซต์ Cars.com ว่าจะเพิ่มฟีเจอร์ Android Auto/CarPlay แล้ว แต่ยังไม่ระบุช่วงเวลาและรถยนต์รุ่นที่จะได้ใช้งาน อย่างไรก็ตาม ข่าวดีคือ Mazda ระบุว่าสามารถอัพเกรดระบบ Mazda Connect ในปัจจุบันให้รองรับฟีเจอร์ใหม่ๆ เหล่านี้ได้ด้วย แปลว่าลูกค้า Mazda ที่ซื้อรถยนต์ไปแล้วก็ "มีโอกาส" ได้ใช้งาน
การประกาศของ Mazda ครั้งนี้ ส่งผลให้ค่ายรถใหญ่ค่ายเดียวที่ยังไม่รองรับระบบเหล่านี้คือ Toyota
ความคืบหน้าจากข่าวอื้อฉาวปีที่แล้วของ Volkswagen ที่ใช้ซอฟต์แวร์โกงผลการทดสอบมลพิษล่าสุดไปถึงขั้นศาลแล้ว โดย Manfred Doess ตัวแทนจาก Volkwagen กล่าวยอมรับความผิดทั้ง 3 ข้อกล่าวหาในศาลรัฐ Detroit
ข้อกล่าวหาต่อ Volkswagen ทั้ง 3 ข้อได้แก่ ฐานแผนสมคบคิดที่จะละเมิดกฎหมายสิ่งแวดล้อม (Clean Air Act), ฐานประวิงหรือขัดขวางความยุติธรรม (Obstruction of Justice) และนำเข้าสินค้าโดยยื่นเอกสารปลอม ซึ่ง Volkwagen มีสิทธิถูกปรับตั้งแต่ 1.7 หมื่นล้านเหรียญถึง 3.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
วงการการพิมพ์ 3 มิติขยายไปยังวงการรถยนต์แล้ว Ford ได้เริ่มทดสอบการพิมพ์ชิ้นส่วนและเครื่องมือสำหรับรถยนต์ด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติจาก Stratasys ด้วยหวังว่าจะสามารถผลิตออกมาในจำนวนที่น้อยลงและช่วยลดต้นทุน
หากการทดสอบผ่านไปได้ด้วยดี จะช่วยให้ Ford ลดต้นทุนสำหรับการผลิตชิ้นส่วนรถแข่ง ไปจนถึงการผลิตรถยนต์รุ่นที่ยังเป็นคอนเซ็ปและโปรโตไทป์ ขณะที่นักแต่งรถทั่วไปก็มีโอกาสจะได้ชิ้นส่วนรถยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเองมากขึ้น
ที่มา - TechCrunch
Toyota Research Institute ของ Toyota ได้เผยโฉมรถยนต์ไร้คนขับของบริษัทเป็นครั้งแรก เป็นการนำรถยนต์ Lexus LS 600HL มาดัดแปลง พร้อมติดตั้งเซ็นเซอร์ LIDAR, เรดาร์และกล้องตามมาตรฐานรถยนต์ไร้คนขับ
เทคโนโลยีบนรถไร้คนขับของ Toyota มีอยู่ 2 เทคโนโลยีหลักๆ คือ Chauffeur (โชเฟอร์) หรือเทคโนโลยีไร้คนขับที่ Toyota จะพัฒนาให้ถึงระดับ 4 คือสามารถขับเคลื่อนได้โดยไม่ต้องมีคนนั่งหลังพวงมาลัย ในพื้นที่หรือเส้นทางที่ถูกกำหนด และระดับ 5 ที่สามารถขับเคลื่อนไปได้ทุกที่ แม้แต่ในสภาพอากาศเลวร้าย
Jeff Evanson รองประธานฝ่ายสัมพันธ์นักลงทุนของ Tesla เปิดเผยแนวทางการขายรถยนต์ของบริษัทว่า มีแผนจะขายพร้อมพ่วงแพ็คเกจประกันรถยนต์และซ่อมบำรุง โดยเริ่มทดลองแล้วเงียบๆ ในบางประเทศของเอเชีย
แนวทางของ Tesla คือจะหาบริษัทประกันที่ให้เรตราคาที่เหมาะสมมาเป็นพาร์ทเนอร์ แต่ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ทาง Tesla ก็อาจจะต้องดูแลเรื่องประกันเอง ซึ่ง Elon Musk เสริมว่าไม่ได้ตั้งใจจะกีดกันบริษัทประกันภัยแต่อย่างใด
ทั้งนี้ Tesla เชื่อมั่นว่าฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยของรถยนต์และค่าบำรุงรักษาที่ถูก เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดนโยบายนี้
ที่มา - TechCrunch
หลังจากในช่วงปลายปีที่แล้ว Uber ย้ายการทดสอบรถไร้คนขับจากแคลิฟอร์เนียไปแอริโซนา ล่าสุดหลังได้รับอนุญาตจากรัฐบาลท้องถิ่น Uber ได้เริ่มทดลองให้บริการกับประชาชนทั่วไปแล้วในเมือง Tempe ของแอริโซนา
ตลอดระยะเวลาการทดสอบนี้จะมีวิศวกรนั่งอยู่ด้านหน้าด้วย 2 คน โดยผู้ใช้ในเมือง Tempe มีสิทธิจะได้นั่งรถไร้คนขับเฉพาะเมื่อเรียกใช้บริการ UberX เท่านั้น
ที่มา - The Next Web
ค่ายรถยนต์ Toyota จับมือกับ Capcom ทำโฆษณารถยนต์รุ่นใหม่ Toyota C-HR ด้วยเกม Street Fighter II กราฟิกแบบพิกเซลสุดคลาสสิค
คลิปโฆษณาชิ้นนี้ พระเอก "ริว" จะนั่งรถ C-HR แวะเวียนไปเยี่ยมตัวละครต่างๆ ทั่วโลก ก่อนจะสู้กับ Vega และรถยนต์ C-HR เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้อย่างง่ายดาย
ที่มา - Neowin
ที่ผ่านมาเวลาเราเห็นข่าวบริษัทต่างๆ ทดสอบรถยนต์ไร้คนขับกับถนนจริง จำนวนรถยนต์ที่ใช้ทดสอบมีไม่เยอะนัก อย่าง Waymo บริษัทลูกของ Alphabet ก็มีรถจำนวน 60 คัน
แต่ข่าววงในล่าสุดระบุว่า GM บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลก เตรียมทดสอบรถยนต์ไฟฟ้า Chevrolet Bolt พร้อมอุปกรณ์ขับเคลื่อนอัตโนมัติจำนวน "หลายพันคัน" ในปีหน้า 2018 ตอนนี้บริษัทยังไม่ยืนยันข่าวนี้
GM พูดชัดเจนมาตลอดว่าจะไม่ขายปลีกรถยนต์ไร้คนขับให้กับลูกค้ารายย่อย ด้วยเหตุผลว่ามีราคาแพงเกินไป แต่จะเน้นการใช้งานกับบริการเรียกรถแทน (ในที่นี้คือ Lyft ที่เป็นพาร์ทเนอร์กัน) เพราะสามารถนำไปใช้หารายได้คืนกลับมา
สามวันก่อนเกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญบนทางหลวงสาย A9 ใกล้เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี มีรถยนต์ Tesla คันหนึ่งสังเกตเห็นว่ารถ Volkswagen Passat ข้างหน้าขับส่ายไปมา และชนไถเข้ากับรั้วกั้นข้างทาง จึงเร่งแซงขึ้นไปดูและเห็นว่าคนขับหมดสติอยู่ เขาจึงตัดสินใจเสียสละรถยนต์ของตนด้วยการค่อยๆ เบรกให้รถ Passat คันดังกล่าวชนท้ายตัวเอง และหยุดนิ่งในที่สุด
หลังจากนั้นหน่วยดับเพลิงก็มาถึงสถานที่เกิดเหตุและช่วยคนขับรถ Passat วัย 47 ปีที่หมดสติกะทันหันขณะขับรถได้สำเร็จ ตามรายงานระบุว่าค่าเสียหายของรถทั้งสองคันอยู่ที่ราว 10,000 ยูโร หรือราว 370,000 บาท
หลังเรื่องราวนี้แพร่สะพัดออกไปจนถึงหู Elon Musk เขาได้ทวีตยกย่องการกระทำของชายเจ้าของรถ Tesla พร้อมกับบอกว่าจะซ่อมรถให้ฟรีทั้งหมด
ที่มา - Jalopnik
กระทรวงคมนาคมของดูไบเซ็นสัญญาซื้อรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model S และ X รวมกันจำนวน 200 คันเพื่อให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับ โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Dubai Future Foundation ที่ต้องการให้รถยนต์ในเมืองจำนวน 25% เป็นแบบไร้คนขับภายในปี 2030 ซึ่ง Tesla ก็ประกาศเปิดขายรถยนต์ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในวันเดียวกัน
Tesla ระบุว่ารถยนต์ที่สั่งซื้อทั้งหมดจะมาพร้อมกับฮาร์ดแวร์ Autopilot รุ่นที่ 2 ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าว โดยจะสามารถใช้งานแบบไร้คนขับโดยสิ้นเชิงได้ในอนาคต และรถยนต์ทั้ง 200 คันจะเข้าเป็นสมบัติของบริษัทแท็กซี่นครดูไบ หรือ Dubai Taxi Corporation
Smart ผู้ผลิตรถยนต์ภายใต้ Daimler ประกาศว่าตั้งแต่ปี 2018 รถยนต์ที่ทางบริษัทขายในอเมริกาเหนือทั้งหมดจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งหมายความว่าทางบริษัทจะหยุดการวางขายรถยนต์ Fortwo และ Fortwo Cabrio ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในสหรัฐฯ และแคนาดาในสิ้นปี 2017 นี้
ความท้าทายอย่างหนึ่งของ Smart คือรถยนต์นั้นเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก ในขณะที่ทวีปอเมริกาเหนือค่อนข้างต้องการรถยนต์ขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้รถยนต์อย่าง Fortwo ขายได้เพียง 6,000 คันในปี 2016 เท่านั้น
Ford ผู้ผลิตรถยนต์ลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพ Argo ที่ทำเรื่องปัญญาประดิษฐ์โดยเฉพาะเป็นจำนวน 1 พันล้านดอลลาร์ นำมาพัฒนาธุรกิจรถยนต์ไร้คนขับ
Argo ก่อตั้งโดยอดีตคนทำงานใน Google และ Uber โดยตัวบริษัทจะทำงานร่วมกับ Ford นำทีมวิศวกรในการพัฒนาซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มใหม่เพื่อรถไร้คนขับของ Ford โดยเฉพาะ โดยวงเงิน 1 พันล้านดอลลาร์อยู่ในกำหนดระยะเวลา 5 ปี เป็นการลงทุนเพื่อหวังผลในธุรกิจรถไร้คนขับซึ่งเป็นเทรนด์แห่งอนาคต
นักวิจัยจาก École Polytechnique Fédérale de Lausanne (EPFL) จากเมืองโลซานประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้สร้างระบบเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างรถยนต์ผ่านระบบ Wi-Fi ขึ้นมาสำหรับรถยนต์ไร้คนขับ โดยรูปแบบการทำงานจะคล้ายๆ กับที่ใช้งานอยู่ใน Truck Platoon เพียงแต่ระบบนี้มีความยืดหยุ่นกว่ามาก
Uber เซ็นสัญญาเป็นพาร์ทเนอร์กับ Diamler บริษัทรถยนต์สัญชาติเยอรมันผู้ผลิต Mercedes-Benz โดยทาง Uber จะนำรถยนต์ไร้คนขับของ Diamler (ที่พัฒนาขึ้นมาเอง Uber ไม่ได้มีส่วนร่วมตรงนี้) มาวิ่งในบริการบนแพลตฟอร์มภายใน 1-2 ปีข้างหน้านี้
อย่างไรก็ตามสัญญาพาร์ทเนอร์นี้ไม่ใช่สัญญาแบบ exclusive ทาง Uber สามารถเป็นพาร์ทเนอร์กับผู้ผลิตรถเจ้าอื่น ในการนำรถมาวิ่งบน Open Platform ของตัวเองได้ (เช่นเดียวกับที่เซ็นสัญญากับ Volvo และ Ford ในการนำ XC90 และ Ford Fusion มาวิ่ง) ขณะที่ทาง Diamler เองก็สามารถเป็นพาร์ทเนอร์กับผู้ให้บริการ Ride-Sharing เจ้าอื่นได้เช่นกัน
Naver บริษัทด้านอินเทอร์เน็ตและบริษัทแม่ของ LINE เปิดเผยว่า Naver Labs บริษัทลูกในเครือกำลังพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับรถยนต์ไร้คนขับสำหรับธุรกิจ Ride-Sharing ในอนาคต (ยังอยู่ในช่วง R&D)
โฆษกของ Naver Lab ระบุว่าบริษัทต้องการจะบุกตลาดรถยนต์ไร้คนขับด้วยเช่นกัน แต่อย่างน้อยบริษัทยังไม่คิดจะเริ่มธุรกิจ Ride-Sharing ณ ตอนนี้ โดยเทคโนโลยีรถไร้คนขับของ Naver อยู่ในระดับ 3 หมายความว่ายังคงต้องมีคนนั่งอยู่หลังพวงมาลัย สำหรับกรณีฉุกเฉิน แต่ไม่จำเป็นต้องมีสมาธิกับถนนอยู่ตลอดเวลา
ก่อนหน้านี้ในปี 2016 Naver ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานความปลอดภัยด้านการขนส่งให้ติดตั้งเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติบนรถยนต์แล้ว แต่ยังคงรอใบอนุญาตขับขี่รถไร้คนขับจากกระทรวงคมนาคม
ภายในงานจัดแสดงนวัตกรรม 5G ของ Ericsson บริษัท Scania ผู้ผลิตรถบรรทุกระดับโลกได้มาออกงานด้วย โดยทาง Scania ได้ร่วมมือกับ Ericsson นำเทคโนโลยี 5G มาใช้เชื่อมต่อและติดตามรถบรรทุกไร้คนขับที่เรียกว่า Truck Platoon
Truck Platoon เป็นรูปแบบหนึ่งของการนำรถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัติมาประยุกต์ใช้ โดยในขบวนจะมีรถบรรทุกคันแรกที่มีคนขับ ส่วนที่เหลือจะขับตามคันแรก ซึ่งในหนึ่งขบวน ณ ตอนนี้รองรับรถบรรทุกได้เพียง 3-4 คันเท่านั้น ขณะที่ผู้บริหาร Scania ระบุว่ากำลังพัฒนาให้รองรับจำนวนให้มากขึ้นในอนาคต, พัฒนาให้เป็นรถขับเคลื่อนไร้คนขับเต็มรูปแบบ รองรับการปรับเปลี่ยนเส้นทางของรถบางคันในขบวน รวมถึงรองรับการเข้ามาแทรกขบวนของรถบรรทุกคันอื่น
หากยังพอจำกันได้ ในช่วงเดือนกรกฎาคมปีนี้แล้ว เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงในรัฐฟลอริด้ากับ Tesla Model S ที่เปิดโหมด Autopilot จนนำมาสู่การตั้งคำถามมากมายถึงความปลอดภัยและน่าเชื่อถือระบบ Autopilot ก่อนที่ หน่วยงานกำกับดูแลความปลอดภัยบนทางหลวงของสหรัฐฯ (National Highway Traffic Safety Administration - NHTSA) จะเข้ามาสอบสวนเรื่องนี้และเพิ่งเปิดเผยรายงานออกมา
Amazon ได้จดสิทธิบัตรเป็นเจ้าของเครือข่ายเน็ตเวิร์คบนท้องถนน ที่สามารถควบคุมและติดต่อสื่อสารกับรถไร้คนขับ สำหรับการแก้ไขสถานการณ์ ในกรณีที่รถต้องเผชิญกับถนนหรือสถานการณ์ที่ไม่เคยถูกโปรแกรมหรือพบเจอมาก่อน
สิทธิบัตรมีการพูดถึงระบบจัดการท้องถนน (Roadway Management System) ที่มีไว้เพื่อกำหนดเลนของถนนให้กับรถไร้คนขับ ตามจุดหมายปลายทางของรถคันนั้นด้วย ขณะที่การจดสิทธิบัตรครั้งนี้ ช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับข่าวลือที่ว่า Amazon กำลังซุ่มพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ สำหรับขนส่งสินค้านอกเหนือจากโดรนมากยิ่งขึ้น
ที่มา - South China Morning Post
ขณะที่แคลิฟอร์เนียดูเหมือนจะเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและทดสอบรถไร้คนขับ แต่ทว่าลาส เวกัส มหานครแห่งแสงสีเสียงกลายเป็นแห่งแรกที่เริ่มนำรถชัทเทิลบัสไฟฟ้าขับเคลื่อนอัตโนมัติมาทดสอบให้บริการในย่าน Fremont East ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมาไปจนถึงวันที่ 20 มกราคมนี้ ตั้งแต่ 10 โมงถึง 6 โมงเย็น
รถชัทเทิลคันนี้ถูกเรียกว่า Arma พัฒนาโดยบริษัท Navya จากฝรั่งเศส ที่ร่วมมือกับ Keolis บริษัทด้านยานพาหนะขนส่งสาธารณะ สามารถรองรับผู้โดยสารได้ราว 12 คน สามารถวิ่งทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 27 ไมล์ต่อชั่วโมง (แต่ตอนทดสอบวิ่งทำความเร็วแค่ 12 ไมล์ต่อชั่วโมง) โดยรองประธานของบริษัท Navya เผยว่าค่าใช้จ่ายในการให้บริการรถชัทเทิลคันนี้อาจสูงถึงราว 10,000 เหรียญต่อเดือนเลยทีเดียว
เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา Tesla ประกาศว่าผู้ที่ซื้อรถยนต์ใหม่จะไม่ได้รับสิทธิ์ชาร์จไฟฟรีไม่อั้นจากเครือข่าย Supercharger ตลอดชีพแล้ว แต่จะให้เครดิตชาร์จไฟฟรีปีละ 400 กิโลวัตต์ชั่วโมงแทน ล่าสุด Tesla ได้ให้ข้อมูลเรื่องนี้เพิ่มแล้ว
Tesla บอกว่าหนึ่งในสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญมากที่สุดคือการขยายเครือข่ายสถานี Supercharger เพื่อสร้างความมั่นใจให้ทั้งลูกค้าเดิม และผู้สนใจใช้รถยนต์ไฟฟ้าว่าจะสามารถเดินทางไกลได้เหมือนรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน อย่างไรก็ตาม บริษัทอยากแบ่งเบาภาระค่าตั้งสถานีชาร์จบางส่วน จึงจำเป็นต้องเก็บเงินค่าชาร์จจากลูกค้า โดยผู้ที่จองรถหลังวันที่ 15 มกราคม 2017 (กำหนดการเดิมคือ 1 มกราคม 2017) จะได้รับเครดิตชาร์จไฟฟรีปีละ 400 กิโลวัตต์ชั่วโมง (วิ่งได้ประมาณ 1,600 กิโลเมตร) หากชาร์จเกินกว่านั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ไฮไลท์ของงาน North American International Auto Show ที่กำลังจัดขึ้นในเมืองดีทรอยท์คงหนีไม่พ้นรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไร้ขับ ซึ่ง Waymo บริษัทรถไร้คนขับของกูเกิลที่ไม่ได้มีรถยนต์มาโชว์ (โชว์ไปหมดแล้ว) ได้เปิดเผยว่ามีการปรับทิศทางการพัฒนารถไร้คนขับของบริษัท โดยหันมาพัฒนาเซ็นเซอร์และฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานบนรถทั้งหมดด้วยตัวเองแทน
John Krafcik ซีอีโอของ Waymo ขึ้นพูดคีย์โน้ตเปรียบเทียบการพัฒนาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไร้คนขับด้วยตัวเองทั้งหมดนี้ ช่วยให้ระบบต่างๆ ทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัวมากขึ้น รวมถึงลดระยะเวลาที่ใช้ในวงจรการพัฒนาทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ลงด้วย
ดูน่าจะตอบโจทย์ปัญหาคนขับรถตู้ซิ่ง วิ่งเร็วและหลับในที่กำลังเป็นกระแสในบ้านเราได้เป็นอย่างดีด้วยคอนเซ็ปของ I.D. Buzz รถมินิบัสไฟฟ้าขับเคลื่อนอัตโนมัติ จากค่ายรถยนต์เยอรมัน Volkswagen ที่ถูกนำมาโชว์ภายในงาน North American International Auto Show ในดีทรอยท์
I.D. Buzz เป็นรถมินิบัสที่มีแรงขับ 369 แรงม้า พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (มอเตอร์ 2 ตัว) สามารถวิ่งได้ราว 270 ไมล์ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง รองรับผู้โดยสารได้ 8 คน โดยเก้าอี้ภายในห้องโดยสารสามารถปรับเปลี่ยนทิศทางหรือองศาได้ตามใจชอบ ขณะที่ฝั่งคนขับค่อนข้างจะล้ำเหมือนออกมาจากภาพยนตร์ไซไฟเล็กน้อย ด้วยระบบการแสดงผล HUD แบบ Augmented Reality บนพวงมาลัย พร้อมรองรับระบบสัมผัส
อย่างที่ทราบกันว่านิสสัน ค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในผู้พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและรถไร้คนขับ ที่กำลังจะมีบทบาทบนท้องถนนในอีก 5 ปีข้างหน้าเป็นอย่างเร็ว และบนเวที CES 2017 นิสสันก็ประกาศความร่วมมือกับโครงการ 100 Resilient Cities โครงการไม่แสวงหาผลกำไร เพื่อวางรากและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับรถไร้คนขับและรถไฟฟ้า
Carlos Ghosn ซีอีโอนิสสันขึ้นแสดงวิสัยทัศน์ว่า การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีในลักษณะนี้ไม่ได้เกิดจากตัวรถหรือบริษัทรถยนต์ แต่เป็นประชากรและตัวเมือง ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการเปลี่ยนผ่านนี้จะเกิดขึ้นได้ บริษัทรถยนต์หรือเทคโนโลยีจะต้องทำงานร่วมกับเมือง เพื่อให้เทคโนโลยีและแผนนโยบายเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ใช่ว่าจะมีแต่เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับเท่านั้น Honda ค่ายรถจากญี่ปุ่นได้เผยโฉมระบบ Riding Assist ใหม่ ที่ช่วยให้มอเตอร์ไซค์สามารถทรงตัวได้ด้วยตัวเอง ภายในงาน CES 2017 ด้วย โดยระบบทรงตัวของ Honda ไม่ได้อาศัยเซ็นเซอร์ Gyroscope เหมือนอย่างค่ายอื่น แต่ใช้ระบบทรงตัวที่เรียกว่า Steer-by-Wire แบบเดียวที่ใช้ในหุ่นยนต์ Asimo
เราเห็นผู้ผลิตรถยนต์หลายค่ายประกาศข่าวเกี่ยวกับเทคโนโลยีรถยนต์ในงาน CES 2017 ฝั่งของไมโครซอฟท์ (ที่ไม่ใช่หน้าใหม่ในโลกไอทีสำหรับรถยนต์) ก็เปิดตัวเทคโนโลยีของตัวเองในชื่อว่า Connected Vehicle Platform
Connected Vehicle Platform ไม่ใช่ระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งภายในรถยนต์ แต่เป็นบริการบนคลาวด์ (แน่นอนว่ารันอยู่บน Azure) เพื่อช่วยสนับสนุนผู้ผลิตรถยนต์ในด้านต่างๆ เช่น พยากรณ์การซ่อมบำรุงล่วงหน้า (predictive maintenance), ระบบนำทาง (advanced navigation) เป็นต้น