Automobile
หน่วยงานป้องกันสิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ (The Environmental Protection Agency - EPA) ได้ยื่นฟ้อง Fiat Chrysler ผู้ผลิตรถยนต์ในข้อหาใช้ซอฟต์แวร์ในการข้ามผ่านระบบควบคุมมลภาวะในรถยนต์ดีเซลกว่า 104,000 คันที่วางขายตั้งแต่ปี 2014 ตามรอย Volkswagen ที่โดนไปเมื่อสองปีที่แล้ว
หลังจากข่าวดังกล่าวออกมา ทำให้หุ้นของ Fiat Chrysler ร่วงลงถึง 4.1% ไปปิดตลาดที่ 10.32 ดอลลาร์ในวันอังคารที่ผ่านมา
Toyota Research Institute (TRI) หน่วยงานวิจัยและพัฒนาของ Toyota ร่วมมือกับ MIT Media Lab มีแผนจะนำเทคโนโลยี Distributed Ledger มาใช้งาน โดยตอนนี้กำลังมองหาพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญเทคโนโลยีนี้ในหลายแง่มุม เพื่อพิจารณาถึงรูปแบบการใช้งานจริงบนรถยนต์
Chris Ballinger ผู้อำนวยการฝ่าย Mobility Services และ CFO ของ TRI ระบุว่าบริษัทอาจจะนำบล็อกเชนในการเก็บข้อมูลการขับขี่จากรถยนต์บนท้องถนนนับล้านๆ คัน เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติทั้งในแง่ความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
นอกจาก MIT แล้ว Toyota ยังร่วมมือกับสตาร์ทอัพอีกหลายเจ้า ที่นำบล็อกเชนไปใช้งานด้านต่างๆ อาทิ ประกัน, บริการ Car Share และ Car Pool
บริษัทรถยนต์ Ford อัพเดตความสามารถ Android Auto และ Apple CarPlay ให้รถยนต์รุ่นเก่าของปี 2016 โดยถือเป็นการอัพเดตผ่าน OTA เป็นครั้งแรกของบริษัทด้วย
Ford เริ่มใช้งาน Android Auto และ Apple CarPlay กับรถยนต์รุ่นปี 2017 อยู่แล้ว แต่คราวนี้ก็ใจดี อัพเดตความสามารถย้อนหลังให้รถยนต์ปี 2016 ด้วยเช่นกัน
รถยนต์ที่เข้าข่ายจะต้องมีระบบแสดงผลข้อมูล Ford SYNC 3 โดยมีวิธีการอัพเดตให้เลือก 3 ทางคือ 1) นำรถยนต์เข้ารับบริการที่ศูนย์ตัวแทน 2) ดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์ใส่ USB drive แล้วนำไปเสียบที่รถ 3) ตั้งค่ารถยนต์ให้เชื่อมต่อ Wi-Fi แล้วดาวน์โหลดตรงแบบ OTA ได้เลย
ถัดจากสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ตอนนี้แอนดรอยด์ได้กลายมาเป็นระบบปฏิบัติการบนรถยนต์แล้ว นำโดย Volvo และ Audi ที่ประกาศจะนำแอนดรอยด์มารันบน Audi Q8 และ Volvo V90
ความแตกต่างจาก Android Auto คือไม่ใช่เพียงอินเทอร์เฟสที่เชื่อมกับสมาร์ทโฟน แต่เป็นระบบปฏิบัติการที่ควบคุมทั้งรถยนต์ ตั้งแต่แอพพลิเคชันผ่านหน้าจอคอนโซลกลาง, ระบบ Infotainment ไปจนถึงระบบแอร์, ซันรูฟ, หน้าต่างและระบบปรับเบาะ พร้อม Google Assistant ภายในรถยนต์ด้วย
Google จะโชว์พร้อมพูดถึงรายละเอียดของความร่วมมือนี้เพิ่มเติมในงาน Google I/O นี้
ที่มา - The Keyword
Waymo บริษัทรถยนต์ไร้คนขับของ Alphabet ประกาศความร่วมมือกับ Lyft บริการเรียกรถยนต์อันดับสองของสหรัฐอเมริกา เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับร่วมกัน
ข่าวนี้ยังไม่ประกาศมาอย่างเป็นทางการ แต่ The New York Times รายงานจากแหล่งข่าววงใน และโฆษก Lyft/Waymo ยืนยันข้อมูลในภายหลังว่าถูกต้อง
ความร่วมมือครั้งนี้ส่งผลสะเทือนต่อ Uber ในฐานะคู่แข่งของทั้งสองบริษัท เพราะ Lyft เป็นคู่แข่งโดยตรงของ Uber ในสหรัฐ และ Waymo ก็มีคดีฟ้องร้องกับ Uber อยู่ในศาล
Peugeot แบรนด์รถจากฝรั่งเศส ไม่พลาดเทรนด์โลกอนาคต ซุ่มทำรถไร้คนขับและจะทดลองขับในเดือนกันยายนนี้ที่สิงคโปร์ โดยได้รับความร่วมมือด้านซิฟต์แวร์ และระบบปฏิบัติการรถจากบริษัท nuTonomy สตาร์ทอัพในสถาบัน MIT นอกจากนี้ยังเตรียมแผนขยายไปทดลองเมืองอื่นต่อไป
หลังจากที่เคยมีข่าวว่าบริษัท conglomerate ยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้อย่างซัมซุงได้แตกไลน์ธุรกิจด้านรถยนต์ออกมาเมื่อสองปีที่แล้ว ซึ่งเริ่มจากการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ infotainment โดยมีเป้าหมายใหญ่คือเทคโนโลยีรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ซึ่งตอนนี้ดูเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นแล้วหลังวันจันทร์ที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมเกาหลีใต้ อนุญาตให้ซัมซุงทดสอบรถไร้คนขับบนถนนจริง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าวงการรถยนต์กำลังอยู่ในช่วงก้าวแรกของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคที่เทคโนโลยีถูกนำเข้ามาเป็นผู้ช่วยในการขับขี่ ทำให้เทคโนโลยีเรื่องกล้องมีบทบาทบนรถยนต์มากขึ้นตามไปด้วย
ขณะที่ ARM ที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาชิปเซ็ตสำหรับสมาร์ทโฟนก็หันมาตีตลาดชิปเซ็ตกล้อง (Image Signal Processor) แล้วด้วย Mali-C71 เพียงแต่เป็นชิปเซ็ตกล้องบนรถยนต์ ซึ่ง Mali-C71 ถูกออกแบบมาสำหรับระบบช่วยเหลือคนขับอัจฉริยะ (Advanced Driver Assistance Systems - ADAS) โดยเฉพาะ ขณะที่เป้าหมายในระยะยาวคือการควบคุมกล้องบนรถยนต์ไร้คนขับในอนาคต
แน่นอนว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนยังไม่เชื่อมั่นในรถยนต์ไฟฟ้าคือจำนวนสถานีชาร์จ ที่หากมีไม่พอต่อความต้องการ อาจทำให้ไม่สามารถเดินทางไกล หรือใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ซึ่ง Tesla ถือเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเจ้าแรกๆ ที่แก้ปัญหานี้ด้วยการใช้สถานีชาร์จด่วน หรือ Supercharger ที่ใช้เวลาชาร์จเพียง 30 นาทีก็เดินทางต่อได้อีกราว 270 กิโลเมตร
Tesla โพสต์บนบล็อกของบริษัทว่าเมื่อขายรถได้มากขึ้น ความสำคัญของเครือข่ายสถานีชาร์จก็มากขึ้นตาม ซึ่งบริษัทถือว่าการชาร์จที่สะดวก, มีจำนวนมากพอ และเชื่อถือได้นั้นเป็นภารกิจสำคัญอย่างมาก โดยเมื่อต้นปี 2017 มีสถานี Supercharger ทั่วโลกอยู่ 5,000 จุด ซึ่ง Tesla ตั้งเป้าขยายให้มากกว่า 10,000 จุด และเพิ่มสถานีชาร์จธรรมดาตามห้างสรรพสินค้า, โรงแรม, ร้านอาหาร ฯลฯ ให้มากกว่า 15,000 จุดภายในสิ้นปีนี้ รวมแล้วจะมีสถานีชาร์จมากกว่า 25,000 จุด เพื่อรองรับรถยนต์ Tesla ทั่วโลกที่ขณะนี้มีมากกว่า 200,000 คันแล้ว
หลังทดลองเป็นการภายในและวิ่งบนถนนใหญ่มาซักระยะใหญ่ๆ ตอนนี้ Waymo บริษัทลูกของ Alphabet ที่พัฒนารถยนต์ไร้คนขับประกาศโครงการ Early Rider Program เพื่อรับส่งคนด้วยรถยนต์ไร้คนขับในเมือง Phoenix รัฐแอริโซนา ซึ่งผู้ที่อยู่ในพื้นที่และสนใจจะใช้บริการสามารถยื่นความประสงค์ได้
ซีอีโอ Waymo ระบุว่าต้องให้คนทั่วไปเข้าร่วมโปรแกรมนี้ให้มากที่สุด เพื่อดูประสบการณ์การใช้งาน การสื่อสารกับรถยนต์และดูเสียงสะท้อนว่าคนทั่วไปต้องการข้อมูลหรือการควบคุมอะไรบนรถ ซึ่งผู้เข้าร่วมสามารถเรียกรถให้ไปรับส่งที่ไหนก็ได้ในพื้นที่ที่กำหนดและเวลาไหนก็ได้
ตอนนี้โครงการ Early Rider Program มีรถอยู่ราว 600 คันเป็นมินิแวน Chrysler Pacifica Hybrid ทั้งหมด
สวนทางกับบริษัทในฝั่งสหรัฐอย่างสิ้นเชิง หลัง Baidu บริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของจีนออกมาเปิดเผยว่ายินดีจะแชร์เทคโนโลยีรถไร้คนขับให้กับบริษัทอื่นๆ ที่เป็นพาร์ทเนอร์ โดยเฉพาะกับผู้ผลิตรถยนต์ เพื่อสร้าง Collaborative Ecosystem บนรถไร้คนขับขึ้นมา
แพลตฟอร์มของ Baidu จะมีให้ทั้งซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ โซลูชันไปจนถึงบริการคลาวด์ ด้านผู้เชี่ยวชาญแสดงความเห็นว่าท่าทีนี้ของ Baidu อาจคล้ายกับโปรเจค AOSP ของกูเกิล ซึ่งหากมีผู้ใช้งานเทคโนโลยีรถไร้คนขับมากเท่าไหร่ (อย่างน้อยๆ ก็ในจีน) Baidu ก็จะยิ่งได้ประโยชน์หรือทำเงินจากข้อมูลจากรถยนต์มากเท่านั้น
โครงการรถไร้คนขับของ Baidu (ชื่อโปรเจ็ค Apollo) เริ่มมาตั้งแต่ปี 2015 โดยมีเป้าหมายว่าจะสมบูรณ์ภายในปี 2020
ไม่ได้เพียงแต่บริษัทอินเทอร์เน็ตอย่าง Baidu และ Tencent ที่กำลังพัฒนารถไร้คนขับเสียแล้ว เมื่อบริษัท FAW Jiefang บริษัทผลิตรถบรรทุกสัญชาติจีนล่าสุดประสบความสำเร็จในการทดสอบระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติบนรถบรรทุกแล้ว
เบื้องต้นรถบรรทุกไร้คนขับของ FAW Jiefang สามารถตรวจจับสิ่งกีดขวางและขับเลี่ยง ตรวจจับไฟจราจร มีระบบควบคุมระยะไกล (remote command) รวมถึงระบบ ACC (adaptive cruise control) ที่ขับตามรถคันหน้าโดยตัวรถเร่งและลดความเร็วตามรถคันข้างหน้าอัตโนมัติ
หลังมีทั้งข่าวลือและข่าวหลุดที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับของแอปเปิลมาหลายปี ตอนนี้จะเรียกว่าแอปเปิลเปิดตัวโครงการรถไร้คนขับอย่างเป็นทางการก็อาจจะไม่ผิดนัก หลังได้รับอนุญาตจากกรมยานยนต์ของแคลิฟอร์เนีย (Department of Motor Vehicles - DMV) ให้ทดสอบบนถนนจริงแล้ว
เมื่อวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา DMV ได้อัพเดตรายชื่อบริษัทรถยนต์ที่ได้รับอนุญาตให้ทดสอบรถไร้คนขับบนถนน ซึ่งมีแอปเปิลเป็นบริษัทที่ 30 ในลิสต์ดังกล่าว โดยรถที่แอปเปิลยื่นจดทะเบียนเป็น Lexus RX450h รุ่นปี 2015 ทั้งหมด 3 คัน
แน่นอนแอปเปิลยังคงเก็บตัวเงียบและปฏิเสธจะแสดงความเห็นในเรื่องนี้
Elon Musk ซีอีโอ Tesla เปิดเผยแผนการขั้นต่อไปของบริษัทผ่านทวิตเตอร์ของเขาเอง ว่าจะเปิดตัวรถรุ่นใหม่ที่เป็นกึ่งรถบรรทุก (Semi Truck) ในเดือนกันยายนนี้
แผนการของ Tesla หลังเปิดตัว Model 3 ที่เป็นรถเก๋งซีดานราคาถูก คือการพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าในรูปแบบอื่นๆ นอกจากรถบรรทุกแล้ว Musk ยังบอกว่าจะเปิดตัวรถกระบะ (pick up) ตามมาใน 18-24 เดือน และจะนำรถสปอร์ต Tesla Roadster รถยนต์รุ่นแรกของบริษัทกลับมาทำใหม่เป็นแบบเปิดกระทุนพับหลังคาได้ (convertible) อีกด้วย
เขายังตอบคำถามในทวิตเตอร์ว่าจะเปิดตัว Model 3 ที่ผลิตเสร็จแล้วในเดือนกรกฎาคมนี้
มูลค่าบริษัทตามราคาหุ้น (market capitalization) ของ Tesla, Inc. สามารถแซงหน้าบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของอเมริกาอย่าง GM (General Motors) ได้เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ Tesla กลายเป็นบริษัทรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในสหรัฐอเมริกา
มูลค่าบริษัทของ Tesla พุ่งตามราคาหุ้นขึ้นไปที่ 51 พันล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้สูงกว่ามูลค่าของ GM ราว 1.7 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ Tesla ได้เป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้ Tesla พุ่งแซงคู่แข่งอีกรายคือ Ford มาได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในแง่ผลประกอบการ GM ยังนำห่าง Tesla อยู่มาก บริษัทขายรถได้ปีละ 10 ล้านคัน ในขณะที่ Tesla ขายได้ปีละ 80,000 คัน
วันนี้ Tesla Motors มีมูลค่าตลาดแซง GM (General Motors) ขึ้นเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่าใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในสหรัฐแล้ว (อันดับหนึ่งของโลกยังคงเป็น Toyota อยู่) หลังจากที่เพิ่งจะแซง Ford ที่เป็นอันดับสองมา หลังจากการซื้อขายเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
หนึ่งในปัจจัยที่ดันให้ Tesla มี Market Cap แซงได้เนื่องมาจากยอดขายในไตรมาสแรกของทั้ง Ford และ GM ดูไม่ค่อยดีนัก ในขณะที่ยอดขาย Tesla Model S และ Model X ยังเป็นไปได้ดี นอกจากนั้นยังคาดว่าจะเริ่มขาย Model 3 ซึ่งเป็นรุ่นที่ราคาถูกสุดได้ภายในสิ้นปีนี้อีกด้วย
Tesla เพิ่งปล่อยซอฟต์แวร์อัพเดตเวอร์ชัน 8.1 ออกมา มีการปรับปรุงฟีเจอร์ Autopilot และ UI จำนวนหนึ่ง แต่ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะ Tesla ได้เพิ่ม Easter Egg หรือลูกเล่นขำๆ มาในอัพเดตนี้ด้วย
Easter Egg อันใหม่นี้คือ "โปรแกรมวาดรูป" สามารถเข้าถึงได้ด้วยการแตะที่โลโก้ตัว T บนหน้าจอ 3 ครั้งแล้วทั้งหน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีขาวทั้งจอ มีเพียงแถบเลือกสีปากกาและยางลบเท่านั้น และหลังวาดเสร็จสามารถส่งรูปกลับไปให้ Tesla ได้ด้วย โดยตามข่าวระบุว่ารูปวาดของเราจะถูกส่งออกไปจริงๆ
Elon Musk ซีอีโอของบริษัทยังได้ทวีตรูปที่เขาวาดขึ้น 2 รูปด้วย ดูได้ท้ายข่าว
ตอนนี้บริษัททำรถไร้คนขับไม่ใช่แค่เจ้าสองเจ้าแล้ว แต่มีอีกมากมายทั้งบริการแชร์รถ และแบรนด์รถยนต์ ตลาดรถไร้คนขับกำลังโต วิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จึงเนื้อหอม และแม้ว่าจะจ้างในเงินเดือนราคาแพงลิบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรักษาไว้ได้ตลอด อย่างเช่นตอนนี้ที่บริษัท Google, Uber เจอปัญหาสมองไหล เพราะพนักงานลาออกไปเปิดบริษัทของตัวเอง บ้างก็โดนซื้อตัว
หลังจากที่ Elon Musk เคยทวีตไว้ว่าจะปล่อยซอฟต์แวร์อัพเดตเวอร์ชัน 8.1 ให้รถยนต์ Tesla ในวันที่ 28-29 มีนาคม ล่าสุดผู้ใช้รถเริ่มได้รับอัพเดตดังกล่าวแล้ว
ซอฟต์แวร์เวอร์ชัน 8.1 โฟกัสไปที่การปรับปรุงฟีเจอร์ที่เกี่ยวกับการขับอัตโนมัติ 2 อย่าง และต้องบอกก่อนว่า 2 อย่างนี้อัพเดตให้เฉพาะรถยนต์ที่ผลิตตั้งแต่เดือนตุลาคม 2016 เท่านั้น โดยเป็นรถยนต์ที่มาพร้อมฮาร์ดแวร์ Autopilot รุ่นใหม่ที่รองรับการขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบในอนาคต เรียกว่า Autopilot 2.0 แต่จนถึงตอนนี้มีความสามารถ 2 อย่างนี้ด้อยกว่าฮาร์ดแวร์เก่า (Autopilot 1.0) อัพเดตนี้จึงเป็นการเพิ่มความสามารถให้เท่าฮาร์ดแวร์เก่า
ไมโครซอฟท์ประกาศความร่วมมือกับ Toyota ให้ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นนำสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับ Connected Car ไปใช้ อาทิ ระบบปฏิบัติการในรถ, Wi-Fi, Voice Recognition, เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวและระบบนำทาง
ความร่วมมือกับไมโครซอฟท์และ Toyota ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก โดยในเดือนเมษายนปีที่แล้ว ไมโครซอฟท์ตกลงที่จะทำ Data Analytics ให้ Toyota ด้วย และไม่เพียงแต่ Toyota ไมโครซอฟท์ยังมีข้อตกลงคล้ายๆ กันนี้กับบริษัทผลิตรถยนต์เจ้าอื่นๆ อีกหลายเจ้าอาทิ BMW, Nissan, Ford, Volvo แม้แต่บริษัทชผลิตชิ้นส่วน Connected Car อย่าง Harman ด้วย
ดูเหมือนไมโครซอฟท์จะสนใจมีส่วนร่วมในวงการรถยนต์เช่นเดียวกับบริษัทไอทีเจ้าอื่นๆ มากกว่าที่เราเห็น
เมื่อกลางปีที่แล้ว Tesla ได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า Model S 60 และ 60D ซึ่งเป็นรุ่นความจุแบตเตอรี่ต่ำสุด (60 กิโลวัตต์ชั่วโมง) เพื่อให้ขายได้ราคาถูก นับว่าเป็นรถยนต์ Tesla ราคาถูกที่สุดที่ซื้อได้ในปัจจุบัน (ประมาณ 2.5 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม Tesla ได้ส่งจดหมายข่าวแจ้งลูกค้าว่าตั้งแต่วันที่ 17 เมษายนเป็นต้นไปจะปิดไม่ให้สั่งรถยนต์รุ่นนี้ได้อีก
Tesla ชี้แจงว่าสุดท้ายแล้วลูกค้าส่วนใหญ่ก็ขยับไปซื้อรถรุ่น Model S 75 กันหมด จึงตัดสินใจยกเลิกรุ่น 60 เพื่อเป็นการ "ลดความซับซ้อนของการสั่งรถ"
ที่จริงแล้ว แบตเตอรี่ที่ติดตั้งอยู่ใน Model S 60 เป็นแบตเตอรี่ขนาด 75 กิโลวัตต์ชั่วโมง แต่ใช้ซอฟต์แวร์ล็อกไว้ให้ใช้งานได้แค่ 60 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งผู้ใช้สามารถจ่ายเงินซื้ออัพเดตเพื่อปลดล็อกความจุได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องนำรถเข้าศูนย์บริการแต่อย่างใด โดยหลังปลดล็อกแล้วจะขับได้ไกลขึ้นราว 60 กิโลเมตร
ที่มา - Electrek
ไม่เพียงแต่ซอฟต์แวร์บนรถยนต์ไร้คนขับเท่านั้นที่ทาง Toyota กำลังพัฒนา แต่ยังมีอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ Toyota จะใส่เอาไว้ในรถไร้คนขับด้วย ซึ่งเป็นระบบสำหรับช่วยเหลือคนขับ (กรณีที่คนควบคุม) ในการวิเคราะห์และสอดส่องความปลอดภัยรอบๆ ตัวรถ ก่อนซอฟต์แวร์จะเข้าควบคุมรถเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายในกรณีฉุกเฉิน โดยเทคโนโลยีนี้มีชื่อเล่นว่า Guardian
Toyota เริ่มทดสอบ Guardian บนถนนจริงแล้ว โดยสถานการณ์แรกที่นำมาทดสอบคือการเลี้ยวซ้าย ซึ่งตัวรถจะมีกล้องและเซ็นเซอร์รอบๆ เพื่อตรวจจับและประเมินอันตรายรอบคัน และภายในรถจะมีกล้องอีกตัวเพื่อวิเคราะห์สภาพของคนขับว่า ต้องการความช่วยเหลือในการหลีกเลี่ยงอันตรายนั้นๆ หรือไม่
NVIDIA อาจเป็นบริษัทไอทีที่กระแสเรื่องการพัฒนารถไร้คนขับค่อนข้างจะเงียบกว่าฝั่ง Google ซึ่ง NVIDIA เองทำทั้งชิปปัญญาประดิษฐ์บนรถ, แพลตฟอร์มขับเคลื่อนอัตโนมัติ ไปจนถึงคอมพิวเตอร์
ล่าสุด NVIDIA ประกาศจับมือกับบริษัทรถยนต์แล้ว เป็นบริษัท PACCAR ที่ผลิตรถบรรทุกในการพัฒนาและผลิตรถบรรทุกไร้คนขับร่วมกัน โดยตัวรถจะใช้หน่วยประมวลผล DRIVE PX2 และระบบ Deep Learning ของ NVIDIA
Bosch บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ของโลกจากเยอรมนี ประกาศความร่วมมือกับ NVIDIA สร้าง "ซูเปอร์คอมพิวเตอร์" สำหรับรถยนต์ไร้คนขับ
Bosch เรียกคอมพิวเตอร์ตัวนี้ว่า AI Car Computer ที่จะพัฒนาต่อจากแพลตฟอร์ม NVIDIA Drive PX รุ่นใหม่ โดยจะใช้ชิปรหัส Xavier (จีพียูสถาปัตยกรรม Volta ที่จะต่อจาก Pascal) ด้วย ทาง NVIDIA ระบุว่าประสิทธิภาพของ Xavier จะช่วยให้ "รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ" แบบไม่ต้องใช้มนุษย์เลย (level-4 autonomous driving) เป็นไปได้จริงในช่วงปลายปี 2018
Bosch ระบุว่าทุกวันนี้ รถยนต์ในท้องตลาดก็ใช้เซ็นเซอร์จาก Bosch อยู่แล้ว การขยับมาทำคอมพิวเตอร์สำหรับรถยนต์ก็ถือเป็นการต่อขยายจากฐานลูกค้าเดิม ไปยังเทคโนโลยีที่เห็นว่าจะมาแรงในอนาคต
นับเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเชิงบวกสำหรับรถยนต์ไร้คนขับ เมื่อทางการของรัฐแคลิฟอร์เนียเสนอร่างกฎหมายฉบับใหม่ ที่เปิดทางให้รถยนต์ไร้คนขับออกมาวิ่งบนท้องถนนได้ง่ายมากขึ้น แค่บริษัทผู้ผลิตทำเรื่องขอใบอนุญาตจากกรมการขนส่งเท่านั้น โดยไม่จำเป็นต้องทดสอบวิ่งในรัฐมาก่อน
กฎหมายฉบับเดิมระบุให้กระบวการขอใบรับรองจะต้องมีการสาธิตเทคโนโลยีไร้คนขับ, ต้องมีคนขับที่มีใบขับขี่อยู่ในรถตลอด ส่วนใบอนุญาตมีหมดอายุและผู้ผลิตจะต้องส่งรีพอร์ทให้ทุกเดือน ขณะที่กรมการขนส่งก็เคยพิจารณาว่าบริษัทรถไร้คนขับจะต้องขออนุญาตรัฐบาลท้องถิ่นในทุกๆ เมืองที่รถไร้คนขับจะขับเข้าไป ก่อนที่จะมองว่าขั้นตอนต่างๆ นั้นยุ่งยาก จึงเปลี่ยนเป็นเงื่อนไขในร่างกฎหมายฉบับล่าสุดแทน และไม่จำเป็นต้องส่งรีพอร์ทให้กรมอีกต่อไป