Automobile
สืบเนื่องจากที่ Tesla ออกมาประกาศว่า ฮาร์ดแวร์ของรถยนต์ที่ถูกผลิตตั้งแต่ตอนนี้ รองรับระบบไร้คนขับแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งถึงแม้จะต้องรออีกหลายปีกว่าซอฟต์แวร์จะพร้อม แต่บริษัทก็ออกมาประกาศกั๊กเจ้าของรถที่หัวใสแล้วว่า ห้ามนำระบบไร้คนขับของ Tesla ไปหารายได้ด้วยการรับส่งคนภายใต้บริการอย่าง Uber หรือ Lyft
วันนี้ Tesla ประกาศความคืบหน้าบนเส้นทางที่รถยนต์จะเข้าสู่การขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบ (fully-autonomous) ว่าตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป รถยนต์ Tesla ทุกรุ่นทุกคันจะมาพร้อมกับฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับอัตโนมัติมาจากโรงงานเลย และยืนยันว่าจะมีความปลอดภัยมากกว่ามนุษย์ขับเอง
ฮาร์ดแวร์ใหม่ดังกล่าวมีกล้องทั้งหมด 8 ตัว ติดตั้งอยู่รอบตัวรถ ทำให้รถมองเห็นทุกอย่างรอบตัวแบบ 360 องศา และสามารถมองไปได้ไกลสุด 250 เมตร นอกจากนี้ยังมีเซ็นเซอร์อัลตราโซนิกรุ่นใหม่อีก 12 ตัว ช่วยให้ตรวจจับวัตถุทั้งนุ่มและแข็งได้ดีกว่าระบบเดิมเกือบ 2 เท่า อีกทั้งยังติดตั้งเรดาร์ยิงไปด้านหน้ารถที่ช่วยให้มองเห็นทะลุฝนตกหนัก, หมอก, ฝุ่น หรือแม้กระทั่งรถยนต์ที่อยู่ด้านหน้า
เราพอจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับการซุ่มพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าในชื่อ Project Titan กันอยู่เนืองๆ จนกระทั่งเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีข่าวลือว่าแอปเปิลต้องการจะรีบูทโครงการนี้ จากการพัฒนารถทั้งคันไปเป็นพัฒนาซอฟต์แวร์ไร้คนขับแต่เพียงอย่างเดียว
ล่าสุดสำนักข่าว Bloomberg รายงานอ้างอิงแหล่งข่าววงในไปในทิศทางเดียวกันว่า มีพนักงานในโครงการลาออก, แอปเปิลสั่งปลด รวมไปถึงย้ายตำแหน่ง หลังแอปเปิลปรับแผนโครงการนี้ เพื่อหันไปพัฒนาซอฟต์แวร์ไร้คนขับแต่เพียงอย่างเดียวแทน โดยมีการจ้างพนักงานเพิ่มเป็นการเฉพาะด้วย
รถยนต์ไร้คนขับของ nuTonomy สตาร์ทพัฒนาเทคโนโลยีไร้คนขับ ที่นำรถมาทดสอบวิ่งและให้บริการในสิงคโปร์ ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เกิดประสบอุบัติเหตุเป็นครั้งแรก โดยชนเข้ากับรถบรรทุก
nuTonomy แถลงว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นในย่าน One North บริษัทชานเมืองใกล้ๆ กับศูนย์วิจัย โดยตัวรถกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำ ก่อนจะเปลี่ยนเลนและเกิดอุบัติเหตุขึ้น ซึ่งบริษัทระบุว่าเป็นอุบัติเหตุเล็กๆ ตัวรถได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย และไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ซึ่งรวมถึงวิศวกรที่นั่งอยู่ในรถ 2 คนด้วย
ประเด็นเรื่องศีลธรรมของรถไร้คนขับ ที่ต้องเลือกช่วยชีวิตระหว่างผู้โดยสารบนรถและคนเดินถนนถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงและทำวิจัยอยู่เนืองๆ ถึงความสามารถในการตัดสินใจของเครื่องจักรและ AI ล่าสุดผู้บริหารของ Mercedes-Benz ยกประเด็นนี้ขึ้นมาอีกครั้ง โดยระบุว่ารถไร้คนขับของเบนซ์นั้น จะเลือกช่วยผู้โดยสารเป็นหลักก่อน
Christoph von Hugo ผู้บริหารที่ดูแลด้านระบบความปลอดภัยและระบบช่วยขับขี่ระบุว่า รถไร้คนขับจะเลือกช่วยผู้โดยสารในรถเป็นอันดับแรก (first priority) ก่อนคนเดินถนน หากเกิดอุบัติเหตุในกรณีที่มีตัวเลือกเพียง 2 ตัวเลือกและมีการเสียชีวิตแน่ๆ (เช่น หักรถหลบ เพื่อช่วยคนเดินถนน หรือขับชนไปเลยเพื่อป้องกันผู้โดยสารในรถ) แต่ก็ไม่ใช่ว่ารถยนต์จะขับพุ่งชนกลุ่มนักเรียนด้วยความเต็มใจนัก
ผู้อ่านที่ติดตามข่าวรถยนต์ไฟฟ้า Tesla คงทราบดีว่ามันมีระบบช่วยขับอัตโนมัติ ซึ่งทำตลาดในชื่อ Autopilot และแม้จะเคยมีข่าวอุบัติเหตุมาบ้าง แต่ Tesla ก็ยังคงยืนยันใช้ระบบนี้ต่อไป เนื่องจากเห็นว่ามันปลอดภัยกว่าการขับโดยมนุษย์มาก
อย่างไรก็ตาม กรมการขนส่งเยอรมนีได้ส่งจดหมายถึง Tesla ขอให้เลิกใช้คำว่า Autopilot มาโฆษณาระบบช่วยขับดังกล่าว เนื่องจากอาจทำให้ผู้คนเข้าใจผิดว่ารถยนต์สามารถขับอัตโนมัติได้เต็มรูปแบบ ซึ่งฝั่งโฆษกของ Tesla ได้เปิดเผยว่าคำว่า Autopilot หมายถึงระบบที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ และคำดังกล่าวได้ใช้ในด้านการบินมานานหลายสิบปีแล้ว รวมถึงบริษัทฯ ก็บอกลูกค้าอย่างชัดเจนว่าระบบดังกล่าวต้องการความสนใจจากผู้ขับขี่ตลอดเวลา
"ดั่งเช่นในเครื่องบิน หากใช้งานอย่างถูกต้อง ระบบ Autopilot สามารถช่วยลดภาระของผู้ขับขี่และเพิ่มความปลอดภัยให้อีกขั้น เมื่อเทียบกับการขับด้วยมือแบบปกติ" โฆษกของ Tesla กล่าว
ที่มา - Reuters
J.D. Power and Associates บริษัทวิจัยการตลาดเปิดเผยผลสำรวจจากผู้ใช้รถ ที่เพิ่งซื้อรถใหม่ไม่เกิน 90 วันเกี่ยวกับเทคโนโลยีบนรถพบว่า ส่วนใหญ่ค่อนข้างพอใจกับเทคโนโลยีต่างๆ ที่มีอยู่บนรถยนต์ในปัจจุบัน โดยคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ราว 730 จาก 1,000 โดยเทคโนโลยีที่มีคะแนนรั้งท้ายคือระบบนำทางบนรถ ที่ได้คะแนนความพึงพอใจอยู่แค่ 687 คะแนน
ผลสำรวจชี้ว่าเกินกว่า 50% ของผู้ใช้รถที่มีระบบ GPS ติดตั้งมาให้ใช้ ไม่เคยใช้งานระบบนำทางบนรถเลย ขณะที่ 2/3 ระบุว่าใช้สมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์นำทางพกพาแทน ส่วนอีกเกือบๆ 1/3 ระบุว่าเคยใช้งานระบบนำทางบนรถราว 2 อาทิตย์ ก่อนจะล้มเลิกและหันมาใช้สมาร์ทโฟนแทน
สำนักวิจัย McKinsey ร่วมกับ Bloomberg New Energy Finance เปิดเผยผลการสำรวจที่ชี้ว่า ภายในปี 2030 รถยนต์ไฟฟ้าในเมืองใหญ่ที่มีรายได้เฉลี่ยของประชากรสูง จะมีสัดส่วนบนท้องถนนถึง 2 ใน 3
ปัจจัยหนึ่งคือเทคโนโลยีที่มีราคาถูกลงและแบตเตอรี่มีความจุมากขึ้น รวมถึงกระแสรักษ์โลก ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการสนับสนุนจากภาครัฐ
และด้วยเหตุนี้งานวิจัยระบุว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งหมดจะได้รับผลกระทบและต้องปรับตัวตาม รวมถึงบริษัทขายนำ้มันต่างที่ต้องสรรหาบริการต่างๆ มารองรับ
ที่มา - Venturebeat
The Pod หรือรถไร้คนขับขนาด 2 ที่นั่งที่ถูกพัฒนาโดย Oxbotica บริษัทที่แยกตัวออกมาจากมหาวิทยาลัย Oxford ร่วมกับสถาบันหุ่นยนต์ของ Oxford (Oxford's Robotics Institute) เตรียมถูกนำมาวิ่งทดสอบในเมืองพร้อมคนนั่งเป็นครั้งแรกบนเกาะอังกฤษ เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป (ตามเวลาท้องถิ่น) ในเมือง Milton Keynes ทางตอนเหนือของกรุงลอนดอน
Oxbotica ได้ว่าจ้างออร์แกไนเซอร์เพื่อร่างแผนการต่างๆ ในการทดสอบครั้งนี้ ทั้งแผนที่เมืองและแผนการด้านความปลอดภัย รวมทั้งเลือกเมืองอื่นๆ ในรัศมี 70 กิโลเมตรทางตอนเหนือของกรุงลอนดอน เพื่อเตรียมการทดสอบรถไร้คนขับต่อไปด้วย
Tesla Motors ประกาศยกเลิกสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นล่างสุดอย่าง Model X 60D หลังเปิดตัวมาได้เพียง 3 เดือน ทำให้ขณะนี้รุ่น 75D กลายมาเป็นรุ่นล่างสุดของ Model X
เว็บไซต์ Engadget คาดว่าสาเหตุที่ยกเลิกรุ่นนี้ เพื่อเป็นการหลีกทางให้กับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะถูกเปิดตัวในวันที่ 17 ตุลาคมนี้ ซึ่ง Elon Musk เผยว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทุกคนคาดไม่ถึงเลยทีเดียว (unexpected by most) รวมถึงคนที่สนใจซื้อรถยนต์ Tesla รุ่นล่างๆ มักจะเลือกซื้อ Model S 60 ตัวใหม่ ที่มีราคาถูกกว่า
ที่มา - Engadget
ใครที่ติดตามข่าวเกี่ยวกับรถยนต์ไร้คนขับอยู่เนืองๆ น่าจะพอทราบว่าขณะนี้ผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทด้านเทคโนโลยีหลายเจ้า ต่างมุ่งมั่นพัฒนารถยนต์ไร้คนขับกัน ซึ่งมักจะเป็นรถยนต์ซีดานเสียส่วนใหญ่ และก็มีบ้างที่เป็นรถบรรทุก อย่างเช่นของ Mercedes-Benz
Google ประกาศจับมือกับ Fiat Chrysler เพื่อพัฒนารถมินิแวนไร้คนขับร่วมกันในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ล่าสุดรถมินิแวนไร้คนขับแบบไฮบริดของ Chrysler ที่ถูกเรียกชื่อว่า Pacifica ออกมาทดสอบวิ่งบนท้องถนนแล้ว
Pacifica จะออกมาทดสอบวิ่งบนถนนราว 100 คัน เสริมทัพกับ Lexus ที่มีอยู่ 24 คันและรถต้นแบบของ Google อีก 34 คัน โดยเว็บไซต์ 9to5Google เผยว่ารถ Pacifica มีรูปร่างหน้าตาที่ใกล้เคียงรถทั่วไปมากขึ้น อาทิ เมาท์เซ็นเซอร์บนหลังคารถมีขนาดเล็กลงจากที่ใช้บน Lexus และเซ็นเซอร์ LIDAR ด้านบนก็ไม่ได้ยื่นออกมาจนโดดเด่นมากนัก
BMW, Toyota และกลุ่มประกันภัย Allianz จับมือร่วมกันซื้อสิทธิการใช้งานสิทธิบัตรของ Nauto สตาร์ทอัพที่พัฒนากล้องและปัญญาประดิษฐ์ เพื่อนำเทคโนโลยีและข้อมูลที่ถูก anonymise ของ Nauto ทั้งข้อมูลพฤติกรรมคนขับ, พฤติกรรมของรถบริเวณสี่แยกและสภาพจราจรที่ติดขัด มาพัฒนารถไร้คนขับของตัวเอง
ระบบของ Nauto ที่ถูกนำไปใช้งานบนแท็กซี่ซานฟรานซิสโก คือกล้องที่ถูกติดบริเวณกระจกหน้ารถ พร้อมด้วยระบบ machine learning ที่คอยรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลบนถนน รวมถึงสามารถตรวจจับและเตือนผู้ขับ หากมีพฤติกรรมที่เสี่ยงอันตรายขณะขับรถด้วย
สภา Bundesrat ของเยอรมนี (เทียบได้กับวุฒิสภาของบ้านเรา) ลงมติเตรียมแบนรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เผาไหม้ภายใน (internal combustion) หรือรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในปัจจุบัน ภายในปี 2030 เพื่อเตรียมเปลี่ยนผ่านสู่ยุคสมัยรถยนต์ที่ไม่ปล่อยควันเสียออกสู่ภายนอก (รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์ที่ใช้เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน)
การลงมติของ Bundesrat ยังไม่มีผลบังคับในทางกฎหมาย แต่ก็จะมีอิทธิพลต่อการออกกฎหมายในระดับของ EU ต่อไป เนื้อหาในมติฉบับนี้ยังกระตุ้นให้ EU ปรับปรุงระบบภาษีเพื่อจูงใจให้คนใช้รถยนต์ที่ไม่ปล่อยควันเสีย และขึ้นภาษีรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลด้วย
วงการรถยนต์ไฟฟ้ากำลังร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผู้เล่นหน้าเก่าในตลาดเริ่มขยับมาเล่นในตลาดนี้กันมากขึ้นทีละรายสองราย โดย Chevrolet เพิ่งเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของบริษัทในชื่อ Bolt ที่วิ่งได้ไกล 380 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ล่าสุดยักษ์ใหญ่จากเยอรมนีอย่าง Volkswagen ก็เริ่มขยับบ้างแล้ว
Volkswagen เปิดตัวคอนเซ็ปรถยนต์ไฟฟ้าในชื่อ I.D. ที่งาน Paris Motor Show โดยโฆษณาว่าจะวิ่งได้ไกลถึง 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จเพียงหนึ่งครั้งและอาจตั้งราคาต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,040,000 บาท) ซึ่งถูกกว่าทั้ง Tesla Model 3 (35,000 ดอลลาร์สหรัฐ) และ Chevrolet Bolt (37,500 ดอลลาร์สหรัฐ)
บริษัทแผนที่ HERE ประกาศดึงข้อมูลเซ็นเซอร์จากรถยนต์หลากหลายแบรนด์ เพื่อสร้างบริการข้อมูลแบบใหม่สำหรับรถยนต์ไร้คนขับที่แม่นยำยิ่งขึ้น ในเบื้องต้น HERE จะดึงข้อมูลจากรถยนต์ยี่ห้อ Audi, BMW, Mercedes-Benz (ซึ่งทั้งสามรายเป็นเจ้าของ HERE ร่วมกัน) แต่ก็จะขยายไปยังยี่ห้ออื่นๆ ในอนาคต
ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ที่ได้ HERE จะนำไปพัฒนาเป็นบริการใหม่ 3 ตัว รวมกับบริการสภาพจราจรเดิม Real-Time Traffic เป็นทั้งหมด 4 ตัว มีรายละเอียดดังนี้
เป็นที่ทราบกันดีว่ากูเกิล เปรียบเสมือนผู้มาก่อนกาลในการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ เนื่องจากเป็นเจ้าแรกๆ ที่พัฒนาและประกาศต่อสาธารณะ และย่อมมีส่วนให้เกิดกระแสให้ผู้ผลิตรถยนต์และเทคโนโลยีเจ้าอื่นๆ หันมาพัฒนารถยนต์ไร้คนขับกันไม่มากก็น้อย แต่ถึงแม้จะมาก่อนใครเพื่อน ดูเหมือนคู่แข่งของกูเกิลหลายๆ เจ้ามีพัฒนาการที่แซงหน้ากูเกิลไปแล้ว ขณะที่กูเกิลเองดูเหมือนยังไม่รู้ว่าจะหันหัวเรือไปทางไหน เพื่อทำให้รถไร้คนขับนำรายได้มาสู่บริษัทได้อย่างจริงจัง
เกิดอุบัติเหตุกับรถยนต์ไร้ตนขับของกูเกิลอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้เกิดจากรถคู่กรณีขับฝ่าไฟแดง ก่อนจะชนเข้ากับรถของกูเกิล
กูเกิลแถลงว่ารถไร้คนขับของตนกำลังมุ่งหน้าบนถนน Phyllis ในพื้นที่ Mountain View โดยขณะกำลังจะผ่านสี่แยกที่เกิดเหตุ สัญญาณไฟแสดงสีเขียวไปแล้วกว่า 6 วินาที ก่อนที่รถอีกคันจะวิ่งฝ่าไฟแดงมาจากด้านขวา ขณะที่รายงานจากสำนักข่าวท้องถิ่นระบุว่า พนักงานของกูเกิลที่อยู่หลังพวงมาลัยได้เข้าควบคุมรถและเหยียบเบรค ตั้งแต่เห็นว่ารถด้านขวามือเริ่มฝ่าไฟแดงเข้ามาบริเวณสี่แยกแล้ว
เหตุการณ์พ่อแม่ลืมลูกตัวเองไว้ในรถจนเด็กขาดอากาศหายใจ หรือร้อนเกินไปจนเสียชีวิตมีออกมาให้ได้ยินอยู่เนืองๆ เฉพาะปีนี้ในสหรัฐอเมริกามีเด็กเสียชีวิตเพราะถูกทิ้งไว้ในรถแล้วถึง 31 คน โดยอัพเดตเวอร์ชัน 8.0 ที่ Tesla เพิ่งปล่อยให้ผู้ใช้อัพเดตกันนั้น มีฟีเจอร์รักษาอุณหภูมิในห้องโดยสารไม่ให้ร้อนเกินไปด้วย
Tesla เรียกฟีเจอร์นี้ว่า Cabin Overheat Protection หลักการทำงานของมันง่ายมาก พอคนขับจอดรถ เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิภายในห้องโดยสารก็จะทำงาน และเปิดแอร์เป็นระยะเพื่อไม่ให้ห้องโดยสารร้อนเกิน 40 องศาเซลเซียส ซึ่ง Elon Musk ระบุว่าตามหลักการแล้วหากชาร์จแบตไว้เต็มสามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้ถึง 1 ปีเลยทีเดียว แต่ในรถ Tesla จะจำกัดระยะเวลาไว้ที่ 12 ชั่วโมง
ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์ Financial Times ของอังกฤษ รายงานข่าววงในว่าแอปเปิลสนใจซื้อหรือเข้าไปลงทุนใน McLaren Technology Group ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอังกฤษ และเจ้าของทีมรถแข่ง F1 McLaren เพื่อรุกเข้าไปยังตลาดรถยนต์ ซึ่งสอดคล้องกับข่าวลือโครงการรถยนต์ไร้คนขับที่แอปเปิลกำลังพัฒนาอยู่ โดยมูลค่าของบริษัท McLaren อยู่ประมาณ 1-1.5 พันล้านปอนด์
อย่างไรก็ตาม ฝั่งของ McLaren ออกมาปฏิเสธข่าวนี้อย่างเป็นทางการแล้ว โดยยืนยันว่าไม่มีการเจรจาใดๆ กับแอปเปิลในประเด็นการเข้ามาลงทุนหรือซื้อกิจการบริษัท
ที่มา - Financial Times, Business Insider
ในยุคที่อะไรๆ ก็สมาร์ท ย่อมหนีไม่พ้นการตกเป็นเป้าโจมตีอย่างแน่นอน รถยนต์ไฟฟ้า Tesla ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ก็หนีไม่พ้น โดยกลุ่มนักวิจัยชาวจีนจาก Keen Security Lab ได้อัพโหลดวิดีโอสาธิตการแฮกรถยนต์ Tesla Model S หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การเลื่อนเบาะไปจนถึงสั่งให้รถเบรกจากระยะไกล
ทีมนักวิจัยนำโดย Sen Nie นักวิจัยอาวุโสของ Keen Security Lab ได้สาธิตการแฮก Tesla Model S P85 เดิมๆ ไม่ได้ปรับแต่งใดๆ เริ่มด้วยการสั่งเปิดหลังคาซันรูฟจากระยะไกล จากนั้นก็โชว์เปิดไฟเลี้ยวและปรับเบาะ
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาตามเวลาในสหรัฐ Uber ได้เริ่มนำรถไร้คนขับมาทดสอบให้บริการในเมือง Pittsburgh เป็นครั้งแรก ซึ่งช้ากว่าที่มีข่าวออกมาก่อนหน้านี้ โดยรถยนต์ที่นำมาใช้เป็น Ford Fusions ที่มาพร้อมด้วยเซ็นเซอร์ต่างๆ รอบคัน
Uber ได้เชิญผู้สื่อข่าวจำนวนหนึ่งมาทดลองนั่งรถรอบเมืองด้วย ซึ่งทีมงานของเว็บไซต์ TechCrunch เผยว่าเหมือน Uber นำรถมาทดสอบวิ่งบนถนนจริงๆ มากกว่าที่จะนำมาให้บริการ เพราะในหลายสถานการณ์ระบบไร้คนขับยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ อาทิ การมีรถจอดขวางอยู่ในเลน ซึ่งวิศวกรที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยต้องควบคุมรถและเปลี่ยนเลนด้วยตัวเอง
สิ่งหนึ่งที่รถยนต์ไฟฟ้า Tesla แตกต่างจากรถยนต์ทั่วไป คือมันมีการอัพเดตซอฟต์แวร์ของตัวรถอยู่สม่ำเสมอ เมื่อผู้ใช้จอดรถในบริเวณบ้านก็จะเชื่อมต่อ Wi-Fi อัตโนมัติ ซึ่งอัพเดตใหญ่ครั้งสุดท้ายคือเวอร์ชัน 7.0 เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว มาพร้อมกับฟีเจอร์ Autopilot หลังจากนั้นก็ออกเวอร์ชัน 7.1 ที่ทำให้รถสามารถเข้าออกโรงจอดรถเองได้ ล่าสุด Tesla ประกาศเปิดตัวซอฟต์แวร์เวอร์ชัน 8.0 มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการปรับปรุงระบบเรดาร์สำหรับ Autopilot ครั้งใหญ่
บนเว็บไซต์ Tesla เล่าเกี่ยวกับอัพเดตใหม่นี้ว่าจะใช้การประมวลผลสัญญาณจากเรดาร์ (signal processing) ที่ล้ำยิ่งขึ้นเพื่อสร้างแบบจำลองของพื้นที่รอบรถ โดยใช้ฮาร์ดแวร์เดิมได้เลย ซึ่งก่อนหน้านี้ระบบเรดาร์ดังกล่าวเป็นเพียงตัวเสริมให้กล้องหลักและระบบประมวลผลภาพ (image processing) เท่านั้น
Volvo ประกาศจับมือกับ Autoliv บริษัทสัญชาติอเมริกัน-สวีดิช ผู้ผลิตและพัฒนาระบบความปลอดภัยที่ใช้บนรถยนต์ เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ไร้คนขับและระบบช่วยเหลือคนขับ (Advanced Driver Assistance System) ร่วมกัน เพื่อนำไปใช้บนรถ Volvo
การร่วมมือครั้งนี้ทั้งสองบริษัทจะส่งพนักงานและเจ้าหน้าที่ของตัวเองมาร่วมงานกัน โดยเบื้องต้นจะอยู่ที่ 200 คนก่อนจะเพิ่มเป็นราว 600 คน มีสำนักงานใหญ่ในการพัฒนาร่วมอยู่ที่เมือง Gothenburg ของสวีเดนและจะเริ่มงานในช่วงต้นปีหน้า
นอกจากซอฟต์แวร์ที่จะนำมาใช้บน Volvo แล้ว Autoliv ยังมีสิทธิในการนำซอฟต์แวร์ที่พัฒนาร่วมกันนี้ไปขายให้กับผู้ผลิตรถเจ้าอื่นและนำรายได้มาแบ่งกันได้อีกด้วย
หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์อ้างแหล่งข่าววงในสามแหล่งว่า แอปเปิลปลดพนักงานจำนวนหลายสิบคนและปิดตัวบางส่วนของ Project Titan โครงการพัฒนารถยนต์บริษัท (อย่าสับสนกับของกูเกิล)ในความพยายามที่จะรีบู๊ตโครงการดังกล่าว พร้อมทั้งปรับเป้าหมายจากการพัฒนารถยนต์ทั้งคันเป็นเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับแทน แบบเดียวกับที่กูเกิลดำเนินการอยู่
ข่าวเกี่ยวกับ Project Titan จากแอปเปิลค่อนข้างเงียบมาก ล่าสุดเมื่อปีที่แล้วมีข่าวว่าแอปเปิลมีแผนจะเปิดตัวรถยนต์ของตัวเองอยู่ โดยคาดว่าจะเปิดตัวได้จริงในปี 2019
ที่มา: นิวยอร์กไทม์