Automobile
ใช่ว่าจะมีแต่เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับเท่านั้น Honda ค่ายรถจากญี่ปุ่นได้เผยโฉมระบบ Riding Assist ใหม่ ที่ช่วยให้มอเตอร์ไซค์สามารถทรงตัวได้ด้วยตัวเอง ภายในงาน CES 2017 ด้วย โดยระบบทรงตัวของ Honda ไม่ได้อาศัยเซ็นเซอร์ Gyroscope เหมือนอย่างค่ายอื่น แต่ใช้ระบบทรงตัวที่เรียกว่า Steer-by-Wire แบบเดียวที่ใช้ในหุ่นยนต์ Asimo
เราเห็นผู้ผลิตรถยนต์หลายค่ายประกาศข่าวเกี่ยวกับเทคโนโลยีรถยนต์ในงาน CES 2017 ฝั่งของไมโครซอฟท์ (ที่ไม่ใช่หน้าใหม่ในโลกไอทีสำหรับรถยนต์) ก็เปิดตัวเทคโนโลยีของตัวเองในชื่อว่า Connected Vehicle Platform
Connected Vehicle Platform ไม่ใช่ระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งภายในรถยนต์ แต่เป็นบริการบนคลาวด์ (แน่นอนว่ารันอยู่บน Azure) เพื่อช่วยสนับสนุนผู้ผลิตรถยนต์ในด้านต่างๆ เช่น พยากรณ์การซ่อมบำรุงล่วงหน้า (predictive maintenance), ระบบนำทาง (advanced navigation) เป็นต้น
กระจกหน้าจอของสมาร์ทโฟนจำนวนมหาศาลที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ผลิตโดยบริษัท Corning ในชื่อทางการค้าว่า Gorilla Glass ซึ่งมีคุณสมบัติทนรอยขีดข่วน และไม่แตกร้าวง่ายๆ ล่าสุดในงาน CES 2017 บริษัท Corning ได้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการเปิดตัว Gorilla Glass สำหรับรถยนต์
ในงาน CES ปีนี้ เราเห็นค่ายรถยุโรปทยอยเปิดตัวความร่วมมือกับบริษัทไอทีกันชุดใหญ่ ตั้งแต่ Fiat Chrysler จับมือกับกูเกิล, BMW กับอินเทล และ Audi กับ NVIDIA
ผู้ผลิตรถยนต์รายล่าสุดที่ออกมาแถลงข่าวคือ Mercedes-Benz ที่ประกาศความร่วมมือกับ NVIDIA อีกราย รายละเอียดของความร่วมมือนี้คือ Mercedes-Benz จะนำเทคโนโลยี AI ของ NVIDIA ไปใส่ในรถยนต์ และสินค้าจริงจะออกวางขายภายใน 12 เดือนข้างหน้า
ค่ายรถยนต์ Nissan ประกาศเตรียมวางจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ายอดนิยม Nissan Leaf รุ่นใหม่ ที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ProPilot ในอนาคตอันใกล้
ProPilot เป็นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Nissan ที่เคยเปิดตัวบนรถมินิแวน Serena ในญี่ปุ่นในช่วงกลางปีที่แล้ว โดยยังสามารถใช้งานได้เฉพาะบนทางหลวงก่อนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม Nissan ไม่ได้ให้รายละเอียดถึงเวลาวางจำหน่ายและราคาของ Nissan Leaf ครับ
ที่มา - The Verge
NVIDIA เน้นหนักยุทธศาสตร์เรื่องคอมพิวเตอร์สำหรับรถยนต์มากในช่วงหลัง นอกจากความร่วมมือพัฒนารถยนต์ไร้คนขับกับ Audi บริษัทยังประกาศความร่วมมือกับบริษัทแผนที่อีก 2 ราย
รายแรกไม่ผิดคาดนักคือ HERE ที่ Audi ถือหุ้นอยู่ (เท่ากับว่า HERE มีความร่วมมือกับทั้งอินเทลและ NVIDIA) โดย HERE จะนำเทคโนโลยี NVIDIA MapWorks AI ไปใช้พัฒนาระบบแผนที่ของตัวเอง ในขณะที่ NVIDIA จะนำแผนที่ HERE HD Live Map ไปใช้ในซอฟต์แวร์ควบคุมรถ NVIDIA DriveWorks ของตัวเอง
ปัจจุบัน Tesla มีโรงงานที่ดำเนินงานเต็มรูปแบบอยู่เพียงแห่งเดียว คือโรงงานที่เมือง Fremont รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่ง Tesla กำลังเร่งสร้างโรงงานเพิ่มอีกโรง ในชื่อ Gigafactory ที่รัฐเนวาดา
โรงงาน Gigafactory นี้มีขนาดใหญ่มหึมา กินพื้นที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ในโลก รองจากโรงงานประกอบเครื่องบินของ Boeing เท่านั้น โดย Tesla จะใช้โรงงานนี้ผลิตทั้งรถยนต์และเซลล์แบตเตอรี่สำหรับสินค้าของตน
Tesla เคยคุยไว้ว่าจำนวนการผลิตเซลล์แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนจาก Gigafactory จะมากกว่าทุกโรงงานในโลกรวมกันเลยทีเดียว ซึ่งล่าสุด Tesla ประกาศว่าขณะนี้ได้เริ่มเดินสายการผลิตเซลล์แบตเตอรี่แล้วแม้โรงงานยังสร้างไม่เสร็จ 100% ก็ตาม
Ji Chang Son เจ้าของรถ Tesla Model X ชาวเกาหลียื่นฟ้อง Tesla ต่อศาลแขวงแคลิฟอร์เนียว่ารถยนต์เร่งเองและพุ่งชนบ้านของเขา
Son อ้างว่าจู่ๆ รถยนต์ Tesla Model X ของเขาก็เกิดเร่งเต็มที่และพุ่งชนทะลุกำแพงโรงรถเข้าไปในห้องนั่งเล่นบ้านเขา ขณะที่กำลังนำรถเข้าจอด อีกทั้งตัวเขาและผู้โดยสารในรถก็ได้รับบาดเจ็บด้วย
การฟ้องนี้เป็นการยื่นฟ้องแบบกลุ่ม โดยนำข้อมูลจากฐานข้อมูลของ NHTSA (National Highway Traffic Safety Administration) มากล่าวหา Tesla ว่ามีเจ้าของรถคนอื่นอีก 7 คนเคยเจอเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เช่นกัน
เราเห็นข่าว BMW จับมืออินเทล พัฒนา Series 7 ไร้คนขับ โดยตั้งเป้าพัฒนาให้สำเร็จภายในปี 2021 กันไปแล้ว
วันนี้อีกขั้วคือ NVIDIA กับ Audi ก็ประกาศความเป็นพันธมิตรในลักษณะเดียวกัน โดยจะสร้างรถยนต์ไร้คนขับที่ใช้แพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์ NVIDIA Drive PX เป็นตัวประมวลผล บวกกับซอฟต์แวร์ NVIDIA DriveWorks และ NVIDIA PilotNet ที่ทำเรื่อง neural network
นอกจากนี้ ในงาน NVIDIA ยังโชว์วิดีโอรถยนต์ไร้คนขับรุ่นต้นแบบของตัวเองในชื่อ BB8 ที่อยู่บนแพลตฟอร์ม Drive PX/DriveWorks/PilotNet ด้วย
ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางปัญหาการเงินภายใน แต่ล่าสุด Faraday Future ได้เผยโฉมหน้าของ FF91 รถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับคันแรกออกมาแล้วภายในงาน CES 2017
Faraday Future ระบุว่า FF91 มาพร้อมกับแรงขันถึง 1,050 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0 ถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมงภายใน 2.39 วินาที แบตเตอรีความจุ 130 kWh สามารถวิ่งได้ราว 700 กิโลเมตร มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ตรวจจับใบหน้า (Facial Recognition) สำหรับปลดล็อครถและรองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน สามารถสั่งให้ FF91 วิ่งหาที่จอดและถอยเข้าซองได้ด้วยตัวเองผ่านสมาร์ทโฟน และเซ็นเซอร์ LIDAR บนกระโปรงหน้า พร้อมกล้องรอบคัน รองรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในอนาคต
BMW ประกาศจับมือกับ Intel และ Mobileye ตั้งแต่ปีที่แล้ว และตอนนี้ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีพร้อมแล้ว บริษัทประกาศว่าจะเริ่มทดสอบ BMW Series 7 แบบไร้คนขับ ลงถนนจริงในช่วงครึ่งหลังของปี 2017
รถยนต์ไร้คนขับที่ใช้ทดสอบมีประมาณ 40 คัน โดย BMW จะรับผิดชอบส่วนของการควบคุมและระบบความปลอดภัยโดยรวม ส่วน Intel รับผิดชอบด้านการประมวลผลทั้งในตัวรถยนต์และฝั่งเซิร์ฟเวอร์ ด้วยโซลูชันตัวใหม่ Intel Go ที่เพิ่งเปิดตัวในวันนี้ และ Mobileye พัฒนาหน่วยประมวลผล EyeQ 5 สำหรับประมวลผลภาพที่ได้จากเซ็นเซอร์และกล้อง ก่อนส่งไปยังระบบของ Intel ต่อไป
การทดสอบของ BMW จะเริ่มจากในสหรัฐและยุโรปก่อน แต่ยังไม่ระบุพื้นที่เมืองหรือช่วงเวลาอย่างเจาะจง
กูเกิลประกาศความร่วมมือกับ Fiat Chrysler Automobiles พัฒนารถยนต์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android ตัวเต็ม (ไม่ใช่ Android Auto ที่เป็นการฉายภาพจากสมาร์ทโฟนขึ้นจอในรถยนต์)
Fiat Chrysler มีระบบให้ข้อมูลในรถยนต์ (infotainment) ของตัวเองอยู่แล้วชื่อ UConnect แต่ความร่วมมือของกูเกิลจะทำให้ Android ใช้งานร่วมกับ UConnect ได้ด้วย เรื่องนี้ Chris Barman ผู้บริหารของ Fiat Chrysler บอกว่าเป้าหมายของบริษัทคือผนวกรวมอินเทอร์เฟซของ UConnect ที่ใช้งานง่าย เข้ากับฟีเจอร์และแอพจำนวนมากของ Android
รถยนต์รุ่นที่นำระบบใหม่มาใช้งานคือ Chrysler 300 ซึ่งจะนำมาโชว์ในงาน CES 2017 สัปดาห์นี้
บริษัทรถยนต์ Ford เปิดตัวรถยนต์ไร้คนขับรุ่นที่สอง ที่พัฒนาต่อจาก Ford Fusion Hybrid รุ่นวิจัยในปี 2013
รถยนต์ไร้คนขับรุ่นที่สองยังใช้ Ford Fusion Hybrid เป็นฐาน แต่เปลี่ยนมาใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติรุ่นใหม่ล่าสุด เปลี่ยนฮาร์ดแวร์ใหม่ที่มีสมรรถนะสูงขึ้น ปรับปรุงเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ LIDAR ใหม่ให้มองภาพได้กว้างขึ้น และลดจำนวนเซ็นเซอร์จาก 4 ชุดมาเหลือแค่ 2 ชุด
Tesla ได้ปล่อยอัพเดตซอฟต์แวร์ครั้งใหญ่ เวอร์ชัน 8.0 ให้ผู้ใช้เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งฟีเจอร์สำคัญอันหนึ่งคือระบบเรดาร์ส่งสัญญาณไปตรวจจับรถข้างหน้าได้ถึง 2 คัน กล่าวคือเรดาร์สามารถมองเห็นได้ทั้งรถคันที่เราตามอยู่ และรถที่อยู่ถัดไปเป็นคันที่ 2 ทำให้สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้หากรถสองคันข้างหน้ากำลังจะชนกัน
ล่าสุด ฟีเจอร์ใหม่ของระบบ Autopilot นี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าสามารถใช้งานได้จริง โดยเป็นเหตุการณ์ที่รถยนต์ Tesla Model X ของ Frank van Hoesel กำลังแล่นอยู่บนทางหลวงในเลนซ้ายสุด และมีรถยนต์อีก 2 คันอยู่ข้างหน้า (ขอเรียกคันที่อยู่ใกล้ Model X ว่า "คันที่ 1" และคันที่อยู่ไกลว่า "คันที่ 2") จู่ๆ รถยนต์คันที่ 1 ก็ตัดสินใจแซงคันที่ 2 ด้วยการหักออกทางขวา แต่คันที่ 2 กลับเบรกจึงแซงไม่พ้น คันที่ 1 จึงชนเข้าที่มุมหลังขวาของคันที่ 2 เต็มๆ
ในจังหวะที่รถคันที่ 1 เปิดไฟเลี้ยวขวาเพื่อจะแซงนั้น ระบบ Autopilot ของ Tesla รู้ทันทีว่าแซงไม่พ้นแน่ จึงส่งเสียงเตือนและเบรกอัตโนมัติเพื่อหลีกเลี่ยงการชน
Volkswagen ได้เปิดตัวคอนเซปต์รถยนต์ไฟฟ้า I.D. ในงาน Paris Motor Show มาแล้ว โดยโฆษณาว่าจะวิ่งได้ไกล 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จเพียงครั้งเดียว รวมถึงอาจตั้งราคาได้ต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์ และตอนนี้ทางบริษัทก็ได้ปล่อยภาพคอนเซปต์เกี่ยวกับตัวรถยนต์ในตระกูล I.D. ออกมาอีกครั้ง
นอกจากการเปิดเผยภาพคอนเซปต์ใหม่ Volkswagen ได้เผยด้วยว่าตัวรถยนต์ I.D. จะออกแบบไว้สำหรับรองรับการขับเคลื่อนอัตโนมัติในอนาคตด้วย โดยจะใช้งานระบบ Modular Electric Drive Kit (MEB) โดยออกแบบไว้ว่าถ้าผู้ใช้ต้องการเปิดใช้งานระบบ เพียงแค่แตะปุ่มโลโก้ Volkswagen ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติก็พร้อมทำงานทันที
สืบเนื่องจากกรณีที่ทางการรัฐแคลิฟอร์เนีย สั่งให้ Uber ระงับการทดสอบรถไร้คนขับ เนื่องจากไม่มีใบอนุญาตนั้น ดูเหมือนล่าสุด Uber จะยอมถอยแล้ว แต่ไม่ใช่ถอยเพื่อรอใบอนุญาต แต่ถอยเกียร์ออกจากรัฐแคลิฟอร์เนีย และหันไปทดสอบรถไร้คนขับในรัฐแอริโซนาแทน
BMW ผู้ผลิตรถยนต์จากเยอรมนีประกาศพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับไปแล้วก่อนหน้านี้ ด้วยการอาศัยความร่วมมือกับ Intel และ Mobileye ก่อนที่ล่าสุดจะประกาศสร้างศูนย์พัฒนาระบบไร้คนขับและระบบเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตบนรถยนต์ขึ้นมาโดยเฉพาะ ในย่าน Unterschleissheim ใกล้เมืองมิวนิคของเยอรมนี
ศูนย์แห่งนี้จะเริ่มเปิดใช้งานในช่วงกลางปี 2017 ซึ่งจะมีพื้นที่สำหรับทดสอบระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของรถยนต์ด้วย ขณะที่แผนการพัฒนารถไร้คนขับของ BMW ก็วางไว้ด้วยว่าจะเริ่มทดสอบวิ่งบนถนนจริงในปี 2017 เช่นกัน ก่อนที่จะเปิดตัวจริงในปี 2021
ปลายเดือนที่แล้ว มีข่าวว่าสตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Faraday Future อาจเปิดตัวรถยนต์คันแรกไม่ทันปีหน้า เนื่องจากโรงงานสร้างไม่เสร็จเพราะเงินไม่พอ จนกระทั่งบริษัทได้ออกทีเซอร์ตัวแรก เพื่อเรียกความมั่นใจจากหลายๆ ฝ่ายกลับมา
แต่ทว่าข้อมูลจาก Jalopnik เว็บไซต์สายรถยนต์ที่ได้จากคนวงในกลับชี้ว่า ปัญหาด้านการเงินของ Faraday Future นั้นย่ำแย่กว่าที่เป็นข่าวก่อนหน้ามาก โดยปัญหาสำคัญมาจากการใช้จ่ายเงินเกินตัว และการที่ LeEco ผู้ลงทุนรายใหญ่ประสบปัญหาการเงิน
Waymo ชื่อใหม่ของโครงการรถยนต์ไร้คนขับของกูเกิล มีรถยนต์รุ่นแรกที่ติดตั้งระบบควบคุมอัตโนมัติคือ Chrysler Pacifica ของบริษัท Fiat Chrysler แต่กูเกิลก็ยังบอกว่าจะเจรจาเป็นพันธมิตรกับบริษัทรถยนต์อีกหลายราย
ค่ายรถใหญ่รายล่าสุดที่เปิดเผยว่ากำลังคุยกับ Waymo คือ Honda โดยรูปแบบของความร่วมมือจะคล้ายกันคือนำรถยนต์ของ Honda มาติดตั้งระบบควบคุมอัตโนมัติของ Waymo เพิ่มเข้าไป
หลังจากที่มีการประกาศแยกตัวโครงการรถไร้คนขับออกมาตั้งเป็นบริษัทลูกภายใต้ Alphabet ในนามของ Waymo ล่าสุดได้เผยโฉมรถยนต์ไร้คนขับคันแรกของบริษัทแล้ว ซึ่งปรับแต่งมาจากรถยนต์มินิแวนไฮบริดรุ่น Chrysler Pacifica ที่เคยรายงานไปแล้วก่อนหน้านี้
ถึงแม้ Chrysler Pacifica จะเป็นรุ่นเดียวกับที่วางจำหน่ายในท้องตลาด แต่รถที่นำมาปรับแต่งเป็นรถไร้คนขับนั้น ถูกปรับแต่งใหม่ตั้งแต่โครงรถบางส่วน ระบบไฟฟ้า ระบบส่งกำลังและแชสซี เพื่อให้เหมาะสมกับเทคโนโลยีของ Waymo
เบื้องต้น Chrysler Pacifica ที่ถูกนำมาทดสอบวิ่งมีทั้งหมด 100 คัน ไม่รวม Lexus ที่มีอยู่ก่อนเดิม
หลังขายสิทธิ์แบรนด์สมาร์ทโฟนให้ TCL BlackBerry เตรียมหันไปลงทุนในธุรกิจใหม่อย่างระบบรถยนต์ไร้คนขับและเตรียมเปิดศูนย์วิจัย ภายในพื้นที่ของ QNX ในเมืองออตคาวาอย่างเป็นทางการในแคนาดาในวันนี้ ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่ง Justin Trudeau นายกรัฐมนตรีแคนาดาจะเดินทางไปร่วมงานนี้ด้วย
ทั้งนี้ใช่ว่า BlackBerry จะเป็นหน้าใหม่ในวงการรถยนต์เสียทีเดียว เพราะบริษัทลูกอย่าง QNX ที่ทำซอฟต์แวร์ฝังตัวก็หันมาเอาดีด้านซอฟต์แวร์รถยนต์มาซักระยะแล้ว โดยก่อนหน้านี้รถยนต์ไร้คนขับรุ่นทดสอบของ QNX ที่ร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Waterloo และ Erwin Hymer Group บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ก็ได้รับการรับรองจากทางการแคนาดา ให้ทดสอบรถยนต์บนถนนแล้ว
Lucid Motors สตาร์ทอัพด้านรถยนต์ไฟฟ้าหน้าใหม่ได้เผยโฉม Lucid Air รถยนต์ซีดานไฟฟ้าคันแรกในงาน LA Motor Show พร้อมแบตเตอรี่จาก Samsung SDI ขนาด 100kWh สามารถวิ่งได้ราว 400 ไมล์ (ประมาณ 640 กม.) ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
Lucid อ้างด้วยว่า Lucid Air มีเครื่องยนต์แรงถึง 1,000 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0 ถึง 65 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ใน 2.5 วินาที พร้อมฮาร์ดแวร์ที่รองรับระบบไร้คนขับอย่างกล้อง, เรดาร์ระยะใกล้/ไกล และเซ็นเซอร์ LIDAR และระบบ In-car entertainment ที่รองรับการสั่งงานด้วยเสียง
Lucid Air จะเริ่มการผลิตในปี 2018 เบื้องต้นถูกตั้งราคาไว้อยู่ที่ราว 100,000 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ Lucid Motors มีแผนจะออกรถยนต์รุ่นเล็กที่ราคา 65,000 เหรียญด้วย
Mercedes-Benz ได้เปิดตัวบริการใหม่ชื่อว่า Croove ซึ่งเป็นบริการให้เช่ารถยนต์แบบ peer-to-peer ในมิวนิค ผู้ใช้ทั่วไปสามารถนำรถยนต์ของตัวเองปล่อยเช่าได้ และผู้ต้องการรถยนต์สามารถเปิดแอพเพื่อเช่ารถยนต์ที่ตัวเองต้องการได้เช่นกัน โดยรองรับรถทุกแบรนด์รวมถึงรถยนต์ส่วนตัวด้วย
วิธีใช้งานของแอพนี้ คือผู้ใช้ฝ่ายหนึ่งที่มีใบขับขี่และต้องการรถยนต์ สามารถเปิดแอพเพื่อค้นหารถยนต์ตามที่ตัวเองต้องการ จากนั้นก็ติดต่อกับเจ้าของและนัดแลกเปลี่ยนกุญแจกัน หรือผู้เช่าอาจจะจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้เจ้าของรถนำรถมาส่งถึงที่ก็ได้ และตัวแอพมี checklist เมื่อพบความเสียหายหลังจากเช่ารถไปแล้ว
The Information รายงานว่า Google ปรับทิศทางการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับขนาดเล็ก (รุ่นที่ไร้พวงมาลัยและเบรค) จากที่เคยผลิตเอง ก็หันไปร่วมมือเป็นพาร์ทเนอร์กับผู้ผลิตรถยนต์ พร้อมมีแผนเตรียมเปิดตัวบริการ Ride-Sharing โดยใช้รถยนต์อัตโนมัติภายในสิ้นปีหน้า
แหล่งข่าวของ The Information ระบุว่า Larry Page และ Ruth Porat CEO และ CFO ของ Alphabet เป็นคนผลักดันแนวคิดนี้อยู่เบื้องหลัง เนื่องจากมองว่าการผลิตรถไร้คนขับแบบไม่มีพวงมาลัยและเบรค ไม่สามารถทำได้จริง (impractical ซึ่งน่าจะหมายถึงขายไม่ออก ไม่ก่อให้เกิดรายได้ - ผู้เขียน) (อ่านเรื่องราวของ Ruth Porat และบทบาทในการจัดระเบียบการเงินของเธอเพิ่มเติมได้ที่ BrandInside)
อาจจะไม่เป็นไปตามข่าวก่อนหน้านี้และ Faraday Future สตาร์ทอัพด้านรถยนต์ไฟฟ้าอาจจะสามารถเปิดตัวและผลิตรถยนต์คันแรกทันปีหน้าก็ได้ เมื่อล่าสุดบริษัทออกมาเผยโฉมทีเซอร์แรกของรถยนต์โปรโตไทป์ ด้วยการแข่งกับ Bentley, Ferrari และ Tesla แล้ว
ตัวทีเซอร์มีความยาวเพียง 17 วินาทีเท่านั้น โดยรถยนต์ของ Faraday Future ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าคลุม ทำให้ไม่ได้เห็นตัวรถกันตรงๆ รวมถึงบอกให้ติดตามผลการแข่งครั้งนี้ด้วย ซึ่งคาดว่าการเผยทีเซอร์นี้อาจจะเป็นการใบ้ว่างาน CES ต้นปีหน้า หลังจากที่เคยโชว์เพียงภาพคอนเซ็ปต์เมื่อปีที่แล้ว