USPS (The United States Postal Service) ผู้ให้บริการไปรษณีย์ของสหรัฐเตรียมจะทดสอบขนส่งพัสดุและไปรษณีย์ด้วยรถบรรทุกไร้คนขับเป็นครั้งแรก โดยร่วมมือกับ TuSimple สตาร์ทอัพรถบรรทุกไร้คนขับสัญชาติจีน (ผู้ก่อตั้งเป็นคนจีน) ในย่าน San Diego แคลิฟอร์เนีย
การทดสอบของ USPS จะวิ่งจากเมือง Phoenix รัฐแอริโซนาไปยังเมือง Dallas รัฐเท็กซัส เป็นระยะทางราว 1,600 กิโลเมตร และแน่นอนว่ายังคงมีคนนั่งหลังพวงมาลัยรวมถึงวิศวกรนั่งไปด้วย โดยการทดสอบของ USPS เบื้องต้นจะใช้เวลาราว 2 สัปดาห์ก่อนจะประเมินอีกครั้งว่าจะยังคงร่วมงานกับ TuSimple ต่อไปหรือไม่
ที่มา - Bloomberg
สตาร์ทอัพจากประเทศสวีเดน Einride เริ่มทดสอบรถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับสำหรับส่งสินค้าบนถนนจริงแล้ว รถดังกล่าวชื่อ Einride T-Pod จะส่งของเป็นระยะทางราว 300 เมตร จากโกดังสินค้าไปที่ท่ารถขนส่ง โดยวิ่งไปกลับเส้นทางนี้หลายเที่ยวต่อวันบนถนนจริง ซึ่งตัวรถสามารถทำความเร็วได้สูงถึง 85 กม./ชม. แต่ในช่วงทดสอบนี้จะกำหนดไว้ที่ 5 กม./ชม. เท่านั้น
Einride T-Pod ใช้แบตเตอรี่ขนาด 200 กิโลวัตต์ชั่วโมง โดยเคลมว่าวิ่งได้ไกล 200 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งแต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นน้ำหนักรถเปล่าหรือบรรทุกสินค้าเต็ม อีกทั้งจริงจังกับการเป็นรถไร้คนขับมากขนาดที่ว่าไม่มีห้องโดยสารใดๆ เลย
Nissan มีเทคโนโลยีช่วยขับ ProPILOT ติดตั้งอยู่ในรถยนต์หลายรุ่น เช่น Nissan LEAF รุ่นใหม่, Nissan Altima, Nissan Rogue (X-Trail ในไทย) และ Nissan Qashqai สามารถรักษารถให้อยู่ในเลนตัวเองได้แต่ผู้ขับขี่ยังต้องเอามือจับพวงมาลัยไว้ตลอดเวลา ล่าสุด Nissan ประกาศเปิดตัวระบบ ProPILOT 2.0 แล้ว
Nissan ProPILOT 2.0 พัฒนาจากของเดิมตรงที่ผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องจับพวงมาลัยแล้ว และเพิ่มระบบตรวจจับว่าผู้ขับขี่ยังตื่นตัวอยู่หรือไม่ หากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินจะได้เข้ามาควบคุมรถได้ทัน
Waymo ประกาศความร่วมมือกับ Lyft นำรถไร้คนขับไปให้บริการบนแพลตฟอร์มของ Lyft ชุดแรก 10 คัน ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ (อาจจะหมายถึงเลือกพื้นที่ขึ้นและลงรถที่ Waymo ให้บริการ) จะสามารถขอรถไร้คนขับอย่างเจาะจงได้
Waymo เริ่มบริการแบบเก็บเงินมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ตอนนี้ผ่านมาเกือบครึ่งปี Waymo ระบุว่าให้บริการคนโดยสารไปแล้วกว่าพันคน
พื้นที่ให้บริการยังจำกัดเฉพาะ Metro Phoenix เช่นเดิม แม้จะเรียกผ่าน Lyft ก็ตาม
ที่มา - Waymo
Elon Musk ประกาศในงาน Tesla Autonomy Day เตรียมให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับ (robo-taxi) ภายในอีก 1 ปี ถึง 1 ปี 3 เดือนข้างหน้า โดยจะมีรถติดตั้งคอมพิวเตอร์สำหรับระบบขับขี่อัตโนมัติถึงล้านคัน และทุกคันสามารถเข้ามาให้บริการแท็กซี่ได้ผ่านแอป Tesla เอง
Musk ระบุว่าต้นทุนของรถ Tesla อยู่ที่ 3.6 บาทต่อกิโลเมตร (0.18 ดอลลาร์ต่อไมล์) เมื่อคิดอายุใช้งานรถ 11 ปีที่ 1,600,000 กิโลเมตร และรถสามารถวิ่งได้ถึง 144,840 กิโลเมตรต่อปี (16 ชั่วโมงต่อวัน ที่ความเร็ว 16 ไมล์ต่อชั่วโมง) เขาไม่ได้ระบุว่าราคาค่าเรียกรถต่อกิโลเมตรเป็นเท่าใด เพราะต้องมีค่าธรรมเนียมเครือข่ายอีก แต่ระบุว่าเฉลี่ยแล้วเจ้าของรถจะกำไรปีละ 30,000 ดอลลาร์หรือประมาณ 930,000 บาท
ในงาน Tesla Autonomy Day วันนี้ หลังจาก Tesla เปิดตัวคอมพิวเตอร์ Full Self-Driving (FSD) สำหรับรองรับการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ บริษัทได้เปิดให้ผู้เข้าร่วมงานได้มีโอกาสทดลองนั่งรถที่เปิดใช้ระบบดังกล่าวด้วย และได้ปล่อยวิดีโอสาธิตออกมาให้ได้ชมกัน
จากวิดีโอ Tesla ได้สาธิตให้รถวิ่งไปตามไฮเวย์และถนนในเมือง โดยรถได้แล่นไปเองโดยที่คนไม่ต้องจับพวงมาลัย ซึ่งรถสามารถขึ้นไฮเวย์ได้เอง และ merge เข้ากับทางหลัก รวมถึงเข้าสี่แยก, เปิดไฟเลี้ยวเอง, อ่านป้าย "หยุด" ก่อนจะเลี้ยวรถ และเดินทางถึงจุดหมายในที่สุด
วันนี้ Tesla จัดงาน "Tesla Autonomy Day" โดยในงานได้เปิดตัวคอมพิวเตอร์ออนบอร์ดรุ่นใหม่ มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อฟีเจอร์การขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบในอนาคต
ฮาร์ดแวร์ดังกล่าวใช้ชื่อตรงๆ ว่า Full Self-Driving (FSD) หรือก่อนหน้านี้รู้จักในชื่อ Autopilot Hardware 3.0 โดยนี่เป็นครั้งแรกที่ Tesla หันมาพัฒนาคอมพิวเตอร์เอง เพราะต้องการสร้างทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกันโดยเฉพาะ
โตโยต้า, DENSO และกองทุน SoftBank Vision ประกาศจะร่วมกันลงทุนในกลุ่มธุรกิจ Uber Advanced Technologies ของ Uber เป็นมูลค่ารวม 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งกลุ่ม Uber Advanced Technologies (Uber ATG) นี้ เน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ สำหรับนำมาใช้ให้บริการแชร์รถโดยสาร
ทั้งนี้ โตโยต้าและ DENSO จะลงทุนร่วมกัน 667 ล้านดอลลาร์ ส่วน SoftBank จะลงทุน 333 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจากการลงทุนนี้ทำให้ Uber ATG มีมูลค่ากิจการ 7,250 ล้านดอลลาร์
ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า Uber ได้เริ่มขายเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับให้กับโตโยต้าแล้วด้วย
ที่มา: Uber
Tesla ถือเป็นผู้เล่นอันดับต้นๆ ที่จริงจังกับรถยนต์ขับอัตโนมัติมาก (อีกเจ้าคือ Waymo ของกูเกิล) โดยล่าสุด Elon Musk ได้ให้สัมภาษณ์กับ Lex Fridman นักวิจัยของ MIT ว่ารถยนต์ Tesla จะขับเก่งกว่ามนุษย์ภายในสิ้นปี 2019
"ภายในสิ้นปีนี้หรืออย่างช้าปีหน้า ผมคิดว่าถ้ามนุษย์เข้ามารบกวน[ระบบขับอัตโนมัติ]จะทำให้ความปลอดภัยลดลง" เขาระบุ
นอกจากนี้ Elon ยังบอกว่าระบบขับอัตโนมัติของ Tesla กำลังพัฒนาด้วยอัตราก้าวกระโดด "ผมอาจจะผิดก็ได้ แต่มันดูเหมือนว่า Tesla นั้นนำคนอื่นอยู่มาก" เขากล่าวเสริม
อย่างไรก็ตาม Elon เคยทำนายผิดหลายครั้งแล้ว โดยมีครั้งหนึ่งเขากล่าวในปี 2015 ว่ารถ Tesla จะขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบภายในสองปี ซึ่งขณะนี้ก็ผ่านมาสี่ปีแล้ว
มีรายงานมาหลายปีก่อนหน้านี้ว่าแอปเปิลกำลังพัฒนาโครงการรถยนต์ไร้คนขับในชื่อ Project Titan แต่ดูเหมือนโครงการจะถูกยุติไป ล่าสุด Reuters รายงานว่าแอปเปิลน่าจะกลับมาพัฒนาโครงการรถยนต์ไร้คนขับนี้อีกครั้ง
โดยแหล่งข่าวระบุว่าแอปเปิลได้มีการพูดคุยกับซัพพลายเออร์อย่างน้อย 4 ราย เพื่อสั่งผลิตเซ็นเซอร์ LiDAR ที่ใช้วัดระยะ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ไร้คนขับ ทั้งนี้แอปเปิลต้องการเซ็นเซอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าปัจจุบัน ราคาถูกลง และมีการออกแบบที่ต่างไปจากเดิม จึงมีการพูดคุยกับซัพพลายเออร์ที่สามารถร่วมพัฒนาเซ็นเซอร์ LiDAR รุ่นใหม่นี้ได้
หลังจากมีข่าวหลุดมาตั้งแต่เดือน 2 วันนี้ Tesla เปิดตัวโครงการเช่ารถยนต์ Model 3 แล้ว โดยมีตัวเลือก 3 ตัวเลือกตามระยะทางที่วิ่งต่อปีคือ 10,000, 12,000 และ 15,000 ไมล์
Tesla ยืนยันว่าลูกค้าที่ใช้บริการเช่าจะไม่สามารถซื้อขาดรถได้หลังหมดสัญญา เพราะ Tesla จะเอาไปใช้กับบริการ Ride-Hailing ของตัวเอง เมื่อซอฟต์แวร์ไร้คนขับมีความพร้อมสมบูรณ์ในอนาคต คล้ายๆ กับที่ Uber และ Lyft มีแผนจะทำ
ที่มา - Electrek
นักวิจัยจาก Tencent Keen Security Labs ตีพิมพ์งานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับความปลอดภัยของระบบ Autopilot ในรถ Tesla โดยส่วนหนึ่งของงานวิจัยระบุว่าพวกเขาสามารถหลอกให้รถวิ่งออกจากเลนได้
Keen บอกว่าพวกเขาแปะสติกเกอร์เล็กๆ ไว้ที่ถนน เรียงเป็นแนวเฉียงเข้าหาเลนที่สวนเข้ามา ทำให้รถนึกว่าเป็นการ merge เข้าอีกเลน และเลี้ยวตามไปชนรถที่สวนมาได้ ซึ่ง Keen ระบุว่าหากรถยนต์จับได้ว่าแนวเส้นดังกล่าวเป็นเส้นปลอม ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา Tesla ได้ฟ้อง Guangzhi Cao อดีตพนักงานที่เคยทำงานอยู่ในทีมพัฒนา Autopilot ซึ่งขณะนี้เขาเป็นพนักงานอยู่ในสตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้า Xiaopeng Motors หรือเรียกสั้นๆ ว่า Xpeng
Tesla ระบุว่า Cao เป็นพนักงาน 1 คนจากเพียง 40 คนที่มีสิทธิ์เข้าถึงซอร์สโค้ดของระบบ Autopilot ซึ่งเขาได้ลาออกจาก Tesla อย่างกะทันหันเมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา และไปเข้าทำงานที่ Xpeng ในเวลาต่อมา โดย Tesla บอกว่า Cao เริ่มอัพโหลดซอร์สโค้ดที่เกี่ยวข้องกับระบบ Autopilot ขึ้นไปเก็บไว้ใน iCloud ส่วนตัวตั้งแต่ปีที่แล้วมากกว่า 300,000 ไฟล์ และหลังได้งานที่ Xpeng เขาก็ลบไฟล์ออกจากคอมพิวเตอร์บริษัทไปราว 120,000 ไฟล์รวมถึงปลดบัญชี iCloud ออกจากคอมพิวเตอร์ไปด้วย
Hyundai ค่ายรถยนต์เกาหลีประกาศเซ็น MOU กับ Yandex ผู้ให้บริการด้านเสิร์ชและอินเทอร์เน็ต (อารมณ์กูเกิล) ของรัสเซีย ในความร่วมมือพัฒนาโซลูชันสำหรับรถยนต์ไร้คนขับระดับ 4 และ 5 ร่วมกัน
เบื้องต้นคือจะนำโซลูชันไร้คนขับมาประกอบเข้าไปในรถของ Hyundai (ไม่ก็ Kia ในเครือ) ขณะที่ในอนาคตจะพัฒนาตัวรถและระบบขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โดยในบันทึกความเข้าใจมีระบุด้วยว่าอาจมีการเพิ่มโซลูชันของ Yandex อย่าง speech recognition, ระบบนำทาง, ระบบแผนที่ เพิ่มเข้าไปด้วย
Yandex พัฒนาโซลูชันรถไร้คนขับมาตั้งแต่ราวกลางปี 2017 แล้วและทดสอบวิ่งทั้งในกรุงมอสโก, เวกัสและเทลอาวีฟในอิสราเอล
The Information รายงานอ้างอิงข้อมูลจากคนในว่า Waymo กำลังมองหานักลงทุนจากภายนอก โดยตอนนี้กำลังพูดคุยอยู่กับ Volkswagen และแบรนด์รถยนต์ค่ายยุโรปอื่นๆ คาดว่าน่าจะเข้ามาถือหุ้นใน Waymo ไม่เกิน 20%
The Information ระบุว่าค่าใช้จ่ายของ Waymo ในแต่ปีละอยู่ที่ราว 1 พันล้านเหรียญ ดังนั้นการหานักลงทุนเพิ่มรอบนี้ก็เพื่อช่วยเพิ่มเงินสดในมือและลดค่าใช้จ่ายจาก Alphabet ลงไป นอกจากนี้ Waymo ตั้งเป้าว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าของบริษัทให้สูงกว่าปัจจุบัน โดยเล็งไว้ว่าจะต้องมากกว่ามูลค่าของ Cruise คู่แข่งที่ตอนนี้อยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ด้วย
เทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับของ Waymo ค่อนข้างล้ำหน้าคู่แข่งไปมาก เหตุผลหนึ่งมาจาก Waymo มีเทคโนโลยี Lidar (light detection and ranging) ที่สร้างขึ้นเองทั้งหมด
ถึงแม้จะเป็นแบรนด์คู่แข่งโดยตรงกันมานาน แต่เมื่อสภาพตลาดเปลี่ยนแปลง เราจึงเห็นผู้ผลิตรถยนต์ฝั่งเยอรมนีคือ BMW ประกาศจับมือกับ Daimler (บริษัทแม่ของ Mercedes Benz) พัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับร่วมกัน และตั้งบริษัทร่วมทุนถึง 5 บริษัท เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีด้านรถยนต์ไร้คนขับ รถยนต์ไฟฟ้า และการขนส่ง มูลค่ารวม 1 พันล้านยูโร
บริษัทร่วมทุน 5 แห่งนี้ประกอบไปด้วย
จากข่าวลือเมื่อต้นปีว่า แอปเปิลปลดพนักงานโครงการรถยนต์ไร้คนขับ Project Titan ออกถึง 200 คน ตอนนี้มีรายละเอียดออกมาจากเอกสารที่แอปเปิลยื่นต่อหน่วยงานด้านการจ้างงานของรัฐแคลิฟอร์เนีย ว่าการปลดพนักงานมีทั้งหมด 190 คน (ในจำนวนนี้มี 124 คนในสายงานด้านวิศวกรรม)
การปลดพนักงานจะมีผลในวันที่ 16 เมษายนนี้
พนักงานเหล่านี้นั่งทำงานในออฟฟิศของแอปเปิลที่เมือง Santa Clara และ Sunnyvale ไม่ไกลจากสำนักงานใหญ่ของแอปเปิลที่ Cupertino โดยแอปเปิลเริ่มสร้างออฟฟิศบริเวณนี้ในปี 2014 ไล่เลี่ยกับช่วงที่เริ่มโครงการรถยนต์ไร้คนขับ หรือโค้ดเนม Project Titan
กรมยานยนต์ของรัฐแคลิฟอร์เนีย (Department of Motor Vehicles) ได้ร้องขอให้ทุกบริษัทที่ทดสอบเรื่องรถยนต์ไร้คนขับที่ได้รับอนุญาตแล้ว ส่งรายงานจำนวนครั้งในการยกเลิกระบบไร้คนขับเมื่อมีเหตุที่โปรแกรมไม่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาระหว่างการขับขี่ได้ เช่น เมื่อเจอวัตถุตัดหน้า การเปลี่ยนเลน รถฉุกเฉินวิ่งมาใกล้ การเจอสิ่งก่อสร้างบนถนนที่อยู่นอกแผนการขับ หรือสถานการณ์ฉุกเฉินอื่นๆ ที่ทำให้ผู้ขับทดสอบต้องยกเลิกระบบขับขี่ไร้คนขับ แล้วเข้าควบคุมรถด้วยมือแทน โดยให้เก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนธันวาคม 2017 ถึงพฤศจิกายน 2018
ในแต่ละปี โลกไอทีเกิดการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ปี 2019 นี้ก็น่าจะเช่นกัน โดยเฉพาเทคโนโลยีใหม่ที่เริ่มออกมาให้เห็นตั้งแต่ปีที่แล้วอย่าง 5G หรือรถยนต์ไร้คนขับ หลายคนอาจสงสัยว่ามันจะมาในปีนี้แล้วจริงๆ ใช่ไหม ไปจนถึงสภาพการณ์อื่นๆ บนโลกไอทีอาทิ สมาร์ทโฟนระยะหลังๆ ซบเซาลง ปีนี้จะกลับมาได้ไหม, Facebook ที่ปีก่อนเผชิญมรสุมทั้งปี ปีนี้จะเป็นยังไง, สตรีมมิ่ง Disney+จะเปิดตัวในปีนี้ Netflix จะเป็นยังไง
Blognone จะวิเคราะห์ประเด็นทั้งหมดในบทความนี้ครับ
รัฐบาลสหราชอาณาจักรประกาศสนับสนุนการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับภายในประเทศ พร้อมระบุว่ากำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงกฎหมาย (Code of Practice) ที่ว่าด้วยการทดสอบรถไร้คนขับบนถนน ให้รองรับการทดสอบและเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำมากยิ่งขึ้น (advanced trials) อาทิ การทดสอบวิ่งโดยไม่ต้องมีคนนั่งหลังพวงมาลัย
สหราชอาณาจักรอนุญาตให้มีการทดสอบรถไร้คนขับบนถนนภายใต้ข้อบังคับความปลอดภัยต่างๆ มาตั้งแตปี 2015 โดยตั้งเป้าว่ารถไร้คนขับแบบสมบูรณ์แบบ จะสามารถวิ่งทดสอบบนถนนได้ราวปี 2021 ซึ่งนับเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ Industrial Strategy ที่ต้องการสนับสนุนภาคธุรกิจให้เกิดการสร้างงาน รวมถึงสนับสนุนประชากร ด้วยการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมและทักษะของคน
Waymo บริษัทพัฒนารถไร้คนขับของ Alphabet กำลังจะได้พันธมิตรใหม่คือ Renault, Nissan และ Mitsubishi ค่ายรถยนต์ที่มียอดขายรวมมากที่สุดในโลก หลังจากที่ Google เคยร่วมมือกับค่ายนี้ไปแล้วในเรื่อง Android Automotive
ข้อตกลงในพันธมิตรครั้งนี้ยังไม่เสร็จสิ้นและอยู่ระหว่างการพูดคุยในเฟสสุดท้าย คาดว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในช่วงราวเดือนเมษายนนี้ แต่ที่แน่ๆ คือ Waymo น่าจะได้รถยนต์มาเพิ่มในฟลีทของตัวเอง จากที่มี Fiat Chrysler และ Jaguar เป็นพันธมิตรอยู่ในปัจจุบัน
ที่มา - Asian Nikkei Review
ช่วงกลางปีที่แล้ว มีรายงานว่าอดีตพนักงานแอปเปิลที่เป็นชาวจีนถูกจับ ฐานขโมยความลับของโครงการรถไร้คนขับ ล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วอดีตพนักงานแอปเปิลอีกรายก็โดนจับในข้อหาเดียวกันและทาง FBI ก็ยื่นฟ้องศาลในแคลิฟอร์เนียแล้ว
ในเอกสารคำฟ้องระบุว่าอดีตพนักงานแอปเปิลคนนี้ชื่อว่า Jizhong Chen เป็นวิศวกรไฟฟ้า เคยทำงานอยู่ฝ่ายฮาร์ดแวร์ของโครงการรถไร้คนขับ โดยเป็นหนึ่งในพนักงานที่เป็นแกนหลักในโปรเจ็คนี้ด้วย ก่อนที่แอปเปิลจะพบไฟล์ที่เป็นข้อมูลความลับของโครงการในฮาร์ดไดร์ฟและคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของ Chen กว่า 2 พันไฟล์ ทั้งรูปถ่าย, คู่มือ, แผนผังและไดอะแกรม
รัฐมิชิแกนเป็นภาพของศูนย์กลางอุตสาหกรรมรถยนต์ในสหรัฐ จากการตั้งโรงงานผลิตและประกอบรถของ GM ในเมือง Flint และโรงงาน Ford ใน Detriot ล่าสุดรัฐนี้กำลังจะกลายเป็นแหล่งผลิตรถยนต์ไร้คนขับด้วย เมื่อ Waymo ประกาศตั้งโรงงานเพื่อผลิตชิ้นส่วนและประกอบรถไร้คนขับในภูมิภาค Southeast Michigan
Waymo บอกว่าโรงงานที่มิชิแกนจะเป็นโรงงานแห่งแรกในโลก ที่ใช้ทรัพยากรทั้งหมด 100% เพื่อผลิตรถยนต์ไร้คนขับระดับ 4 โดยร่วมมือเป็นพาร์ทเนอร์กับ Magna ซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนรถยนต์ สำหรับการนำฮาร์ดแวร์รถไร้คนขับไปประกอบในรถยนต์รุ่นต่างๆ พร้อมกันนี้ Waymo ก็ประกาศรับสมัครทั้งวิศวกร, ผู้เชี่ยวชาญ, และผู้ประสานงานรถยนต์หลักร้อยตำแหน่งแล้ว
ถ้ายังจำกันได้ แอปเปิลมีข่าวหลุดเรื่อง Project Titan โครงการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับมาตั้งแต่ปี 2015 (1, 2, 3, 4)
แต่ล่าสุดสำนักข่าว CNBC อ้างแหล่งข่าววงในว่า แอปเปิลปลดพนักงานในฝ่ายนี้ออกถึง 200 คนในสัปดาห์นี้
โฆษกของแอปเปิลยืนยันข่าวการปลดพนักงาน แต่ก็ยืนยันว่าแอปเปิลยังมองหาโอกาสเข้าตลาดนี้ต่อไป โดยพนักงานบางส่วนถูกย้ายไปยังฝ่ายอื่นของบริษัท