Federal Trade Commission
ต่อจากข่าว สหรัฐเตรียมบังคับใช้กฎใหม่ การยกเลิก subscription ต้องง่ายเหมือนตอนสมัคร ในที่สุด FTC หรือคณะกรรมการการค้าของสหรัฐ ได้ออกกฎ "Click-to-Cancel" ฉบับสมบูรณ์มาแล้ว โดยจะมีผลบังคับใช้ในอีก 180 วันข้างหน้า
กฎ Click-to-Cancel บังคับว่าผู้ขายต้องแจ้งข้อมูลที่ตรงไปตรงมากับลูกค้าก่อนซื้อ และจำเป็นต้องมีวิธียกเลิกการสมัครสมาชิกที่เร็วและง่าย เท่ากับตอนสมัคร
ผู้ที่ละเมิดกฎของ FTC จะมีโทษปรับตามอำนาจของ FTC ต่อไป
รัฐบาลไบเดนออกนโยบาย "เวลาเป็นเงินเป็นทอง" (Time Is Money) เตรียมบังคับกฎหมายต่างๆ ที่ช่วยลดการเสียเวลาของผู้บริโภคลง เช่น การยกเลิก subscription อย่างง่าย แต่ยังมีมาตรการอื่นๆ อีกหลายอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับวงการไอที ได้แก่
คณะกรรมการการค้าสหรัฐ (FTC), กสทช. สหรัฐ (FCC) และสำนักงานคุ้มครองการเงินผู้บริโภค (Consumer Financial Protection Bureau) เตรียมบังคับใช้กฎใหม่ที่เพิ่งออกเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา บีบให้บริษัทต่างๆ ต้องปรับมาตรการการยกเลิกการใช้บริการ ให้ง่ายเหมือนตอนสมัครใช้งาน
กฎใหม่นี้ครอบคลุมตั้งแต่บริการอย่างสมาชิกโรงยิม ไปจนถึงบริการออนไลน์ต่างๆ แม้แต่ประกันสุขภาพ กระบวนการเคลมก็ต้องทำง่ายๆ ผ่านออนไลน์ แทนที่จะเป็นการบีบให้ลูกค้าพิมพ์เอกสาร ส่งไปรษณีย์เหมือนเดิม
Neera Tanden ที่ปรึกษาด้านนโยบายของทำเนียบขาวระบุว่า กฎนี้ออกมาเพื่อแก้ปัญหาที่บริษัทต่างๆ พยายามดีเลย์การให้บริการ (เช่นประกัน) หรือทำให้กระบวนการยกเลิกบริการยากกว่าที่ควรจะเป็น เพื่อดึงเงินของลูกค้าเอาไว้ให้นานที่สุด
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DoJ) ร่วมกับคณะกรรมการกำกับดูแลการค้าของสหรัฐ (FTC) ยื่นฟ้อง TikTok ต่อศาลกลางรัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุว่าบริษัทละเมิดกฎหมายการปกป้องข้อมูลความเป็นส่วนตัวของเด็ก ซึ่งกฎหมายนี้กำหนดให้แพลตฟอร์มออนไลน์ ต้องไม่เก็บรวบรวมข้อมูลผู้ใช้งานเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง รวมทั้งต้องลบข้อมูลทั้งหมดหากถูกร้องขอจากผู้ปกครอง
DoJ ยังอ้างถึงคำสั่งของ FTC ในปี 2019 ที่สั่งปรับเงิน TikTok ในประเด็นเดียวกันนี้ จึงมองว่าเป็นการทำความผิดซ้ำ โดยเอกสารอ้างคำร้องเรียนจากผู้ปกครองจำนวนมากที่พบปัญหานี้
หลัง Microsoft ชนะ FTC ในชั้นศาลเมื่อปีที่แล้ว ทำให้ Microsoft เข้าซื้อกิจการ Activision Blizzard ได้สำเร็จ ล่าสุด FTC กำลังยื่นอุทธรณ์ และยื่นฟ้องครั้งใหม่ (รอบที่ 9) ต่อศาลสหรัฐอเมริกาแล้ว
จดหมายของ FTC คราวนี้กล่าวถึงการขึ้นราคา Game Pass และการตัดเกมที่เล่นได้ตั้งแต่วันแรกที่วางขายออกจากสมาชิกระดับ Game Pass Console ว่าเป็นความเสียหายต่อผู้บริโภคจากการควบรวมกิจการตามที่ FTC เคยเตือนไว้
คณะกรรมการกำกับดูแลการค้าของสหรัฐ หรือ FTC เป็นโจทก์ฟ้อง Adobe โดยระบุว่าบริษัทพยายามปกปิดการให้ข้อมูลกับลูกค้า เกี่ยวกับค่าปรับในการยกเลิกบริการก่อนกำหนด และสร้างขั้นตอนที่ยุ่งยากในการยกเลิก Subscription ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่สำคัญที่ลูกค้าต้องทราบ
ในเอกสารการฟ้องนั้น FTC บอกว่า Adobe พยายามเสนอให้ลูกค้าต้องจ่ายค่าบริการรายเดือนแบบเหมาล่วงหน้าหนึ่งปี แต่ไม่มีการแจ้งว่าหากจะยกเลิกก่อนกำหนด มีค่าปรับคิดเป็น 50% ของระยะเวลาที่เหลือ ซึ่งอาจสูงถึงหลายร้อยดอลลาร์ ค่าปรับที่สูงนี้จึงเป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจใช้งานต่อ
The New York Times อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง บอกว่าหน่วยงานของสหรัฐเตรียมทำการสอบสวนบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ในประเด็นการผูกขาดในอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์หรือ AI
โดยกระทรวงยุติธรรม (DoJ) จะรับผิดชอบในการสอบสวน NVIDIA ส่วนคณะกรรมการกำกับดูแลการค้าของสหรัฐ (FTC) จะตรวจสอบ OpenAI และไมโครซอฟท์
ไมโครซอฟท์นั้นอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนของ FTC ในเรื่องเกี่ยวกับ AI อยู่แล้ว จากการตั้งซีอีโอ Inflection AI เป็นหัวหน้าฝ่าย Microsoft AI ซึ่ง FTC บอกว่ารูปแบบดีลนี้เป็นการซื้อตัวซีอีโอและเทคโนโลยีสำคัญเข้ามา เพื่อหลบเลี่ยงการซื้อกิจการโดยตรงที่ต้องรายงานต่อหน่วยงานกำกับดูแล
FTC คณะกรรมการกำกับดูแลการค้าของสหรัฐ สั่งปรับ Razer 1.17 ล้านดอลลาร์ จากกรณีโฆษณาหน้ากาก Razer Zephyr ว่ามีมาตรฐาน N95 ซึ่งเป็นการโฆษณาเกินจริง เพราะทดสอบแล้วหน้ากากไม่ผ่านมาตรฐาน N95 แต่อย่างใด เป็นการนำฟิลเตอร์แบบเดียวกันมาใช้แล้วอ้างว่าผ่านมาตรฐาน N95
คณะกรรมการการค้าสหรัฐฯ ประกาศสั่งห้ามนายจ้างเซ็นสัญญาห้ามลาออกไปทำงานกับคู่แข่ง (non-compete clause) โดยครอบคลุมพนักงานทุกระดับ ยกเว้นไว้เพียงผู้บริหารระดับสูงที่เซ็นไว้เดิมก่อนหน้านี้ แต่แม้แต่ผู้บริหารระดับสูงก็ห้ามเซ็นสัญญาใหม่อีก
ที่ผ่านมาสหรัฐฯ มีการจ้างงานที่มีสัญญาข้อนี้ประมาณ 18% หรือ 30 ล้านคน แม้จะไม่ค่อยมีการบังคับใช้นัก หรือที่บังคับบ้างก็มักเป็นพนักงานระดับสูงอยู่แล้ว เมื่อปี 2022 ไมโครซอฟท์ก็เคยออกมายกเลิกสัญญาข้อนี้
FTC คาดว่าโดยรวมการสั่งห้ามนี้จะทำให้ธุรกิจมีการแข่งขันมากขึ้น เกินนวัตกรรม และค่าจ้างโดยรวมของพนักงานเพิ่มขึ้น จนถึงจะเกิดการก่อตั้งบริษัทใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
Meta ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐบาลกลาง ขอให้ถอนคดีที่คณะกรรมการการค้าของสหรัฐ หรือ Federal Trade Commission (FTC) ฟ้อง Meta ข้อหาผูกขาดตลาดโซเชียลเน็ตเวิร์ค รวมทั้งที่เป็นผลจากการซื้อกิจการ WhatsApp และ Instagram ซึ่ง FTC ยื่นฟ้องมาตั้งแต่ปี 2020 และ Facebook (ในเวลานั้นที่ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อบริษัท) ก็ตอบโต้และขอให้ศาลถอนคดี ซึ่งศาลได้ให้ FTC ชี้แจงเพิ่มเติม แล้วตัดสินให้เดินหน้าคดีนี้ต่อ
คณะกรรมการการค้าสหรัฐฯ (FTC) ร่วมกับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยื่นหนังสือแสดงความสนใจ (statement of interest) ต่อศาลวอชิงตัน ในคดีระหว่าง McKenna Duffy และ Yardi Systems ผู้ให้บริการ RENTMaximizer ที่แนะนำราคาค่าเช่าให้กับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เพื่อทำกำไรสูงสุด โดย FTC ระบุว่าการตั้งราคาด้วยข้อมูลจากซอฟต์แวร์แบบนี้เป็นการฮั้วราคา (price fixing)
RENTMaximizer และซอฟต์แวร์ในกลุ่มเดียวกันดูข้อมูลการให้เช่าจำนวนมาก แนะนำผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์เช่นบ้านเช่า ให้ตั้งราคาให้อยู่ในระดับเดียวกับบ้านที่เคยให้เช่าสำเร็จ โดยอาศัยฐานข้อมูลที่อยู่อาศัยนับสินล้านห้อง
Federal Trade Commission (FTC) สั่งปรับ Avast ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสเป็นเงิน 16.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการเก็บข้อมูลการเข้าเว็บผ่านส่วนขยายเบราว์เซอร์และนำไปขายให้กับองค์กรอื่นกว่า 100 ราย
FTC ระบุว่า Avast เริ่มเก็บข้อมูลจากเบราว์เซอร์มาตั้งแต่ปี 2014 จากทั้งเบราว์เซอร์พีซีและโทรศัพท์มือถือ โดยรวมทั้งข้อความค้นหาและรายชื่อเว็บที่ผู้ใช้เข้าใช้งาน แม้ว่าบริษัทจะโฆษณาว่าส่วนขยายของเบราว์เซอร์จะช่วยลดการติดตามตัว เพิ่มความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
มีข่าวน่าสนใจเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีมาใช้กับธุรกิจ กลายเป็นเรื่องวุ่นวายที่ทางการต้องเข้ามาสั่งระงับ โดยร้านขายยา Rite Aid ที่มีสาขาหลายพันแห่งในอเมริกา ได้รับการร้องเรียนจากลูกค้า จนนำมาสู่การเจรจายอมทำตามข้อตกลงกับคณะกรรมการการค้าของสหรัฐ หรือ FTC
FTC ระบุว่า Rite Aid ได้นำเทคโนโลยีรู้จำใบหน้า (Facial recognition) มาใช้ในร้านค้าตั้งแต่ปี 2012-2020 เพื่อตรวจจับหากมีบุคคลต้องสงสัยว่ามีประวัติขโมยสินค้าในร้าน หรืออาชญากรรมอื่น เข้ามาใช้ในบริการในร้าน พนักงานในร้านก็สามารถประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นได้
FTC และอัยการของ 17 รัฐในอเมริกายื่นฟ้อง Amazon โดยระบุว่าบริษัทมีพฤติกรรมผูกขาดของส่วนธุรกิจมาร์เกตเพลส และใช้กลยุทธ์หลายอย่างเพื่อรักษาการผูกขาดนี้ไว้ เช่น บีบผู้ขายไม่สามารถขายสินค้าราคาถูกกว่าในช่องทางอื่นหากตรวจพบ บังคับให้ผู้ขายใช้บริการต่าง ๆ ของ Amazon ทั้งโฆษณา ขนส่ง ที่คิดราคาสูง แต่หากไม่ใช้ก็จะถูกลดคะแนนลง เป็นต้น
ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า FTC เตรียมฟ้อง Amazon ซึ่งมีความพยายามมาหลายปีแล้ว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ Amazon ปรับโครงสร้างธุรกิจที่จะลดการผูกขาดดังกล่าว
เว็บไซต์ Politico รายงานอ้างอิงคนภายในหลายคนว่า FTC เตรียมจะยื่นฟ้อง Amazon ฐานผูกขาดในหลายธุรกิจ ซึ่งปลายทางอาจนำไปสู่คำสั่งศาลให้ Amazon แยกบริษัทหรือปรับโครงสร้างบริษัททั้งหมด
การสืบสวน Amazon ผูกขาดของ FTC เริ่มมาตั้งแต่ยุครัฐบาลทรัมป์ แต่ตอนนั้นประธาน FTC คนเก่า Joe Simons โฟกัสไปที่บริษัทอย่าง Meta เป็นหลัก แต่ประธานคนล่าสุด Lina Khan ที่เคยเขียนเปเปอร์เรื่องการผูกขาดของ Amazon หันมาโฟกัสที่บริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของโลกแทน โดยมีการสืบสวนจากทั้งคนในและคนนอก
Jacqueline Scott Corley ผู้พิพากษาศาลเขตแคลิฟอร์เนียเหนือ ซึ่งเป็นเจ้าของคดี FTC ฟ้องขอให้ขวางดีลไมโครซอฟท์ซื้อ Activision Blizzard และตัดสินให้ FTC แพ้ ได้เผยแพร่ความเห็นของตัวเองที่ใช้ในชั้นศาลออกมา
เอกสารชิ้นนี้ยังมีบางส่วนที่คาดดำเพราะเป็นความลับทางธุรกิจ แต่ก็ช่วยให้เราได้เห็นมุมมองของผู้พิพากษาชัดเจนขึ้น
ดีลไมโครซอฟท์ซื้อกิจการ Activision Blizzard มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญอีกรอบ เพราะอุปสรรคของการปิดดีลในสหรัฐอเมริกากำลังจะหมดไป
ต้องย้อนความว่าเมื่อปลายปี 2022 FTC หรือคณะกรรมการการค้าของสหรัฐ มีมติขวางดีลไมโครซอฟท์ซื้อ Activision Blizzard โดยขอให้ศาลมีคำสั่งยับยั้งดีลชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำตัดสิน ซึ่งคำสั่งชั่วคราวจะสิ้นสุดในวันที่ 14 กรกฎาคม 2023 (นับถึงเที่ยงคืนตามเวลาสหรัฐ)
แม้ศาลเขตซานฟรานซิสโกมีคำตัดสิน ปฏิเสธคำขอของ FTC ที่ขวางดีลไมโครซอฟท์ซื้อ Activision Blizzard แต่ล่าสุด FTC ยังไม่ย่อท้อ ประกาศเดินหน้ายื่นอุทธรณ์ใหม่อีกครั้ง ส่วนรายละเอียดต้องรอเอกสารคำอุทธรณ์ของ FTC ต่อไป ซึ่งศาลมีสิทธิรับพิจารณาหรือไม่ก็ได้
ฝั่งไมโครซอฟท์นำโดยประธานบริษัท Brad Smith ก็ออกมาตอบโต้ว่าผิดหวังต่อท่าทีของ FTC ที่ยังเดินหน้าทำคดีหลักฐานอ่อนต่อไป และบริษัทจะคัดค้านแนวทางของ FTC เช่นกัน
ศาลซานฟรานซิสโกออกคำตัดสินปฏิเสธคำร้องขอจาก FTC ที่ให้ขัดขวางดีลไมโครซอฟท์ซื้อกิจการ Activision Blizzard ซึ่งทั้งสองบริษัทมีข้อตกลงต้องปิดดีลภายใน 18 กรกฎาคมนี้ ส่งผลให้ดีลมีความคืบหน้ามากขึ้น
ผู้พิพากษา Jacqueline Scott Corley อธิบายในรายละเอียดคำตัดสินว่าประเด็น Call of Duty นั้น ไมโครซอฟท์ได้แสดงแนวทางชัดเจนว่าเกมจะยังอยู่ใน PlayStation ไปอีก 10 ปี ควบคู่กับใน Xbox รวมทั้งมีแผนนำลง Nintendo Switch ด้วย จึงมองว่าข้อมูลที่ FTC บอกหากดีลนี้เกิดขึ้นการแข่งขันในตลาดจะลดลง ยังไม่ชัดเจนมากพอให้ศาลร่วมยับยั้งดีลนี้
ในเอกสารคดี FTC เรื่องไมโครซอฟท์ซื้อ Activision Blizzard (ตอนนี้ไต่สวนเสร็จแล้ว รอผลตัดสินของศาล) มีเอกสารฝั่งไมโครซอฟท์ที่คาดการณ์ว่าโซนี่จะออก PlayStation 5 Slim ในปีนี้ ตั้งราคาที่ 399.99 ดอลลาร์
ข้อความต้นฉบับ
“PlayStation likewise sells a less expensive Digital Edition for $399.99, and is expected to release a PlayStation 5 Slim later this year at the same reduced price point,”
ไมโครซอฟท์ยังประเมินว่าโซนี่จะออกเครื่องเล่น PS5 พกพา ที่ตอนนี้เปิดตัวแล้วในชื่อ Project Q ภายในปีนี้เช่นกัน โดยคาดว่าจะตั้งราคาถูกกว่า 300 ดอลลาร์
ในการไต่สวนของ FTC บริษัทเกมที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเปิดเผยเอกสารในชั้นศาล โดยเอกสารมักถูกคาดดำบริเวณข้อมูลสำคัญที่ไม่อยากเปิดเผยต่อสาธารณะ
อย่างไรก็ตาม เอกสารของโซนี่กลับใช้วิธีคาดดำด้วยปากกาไฮไลท์ (Sharpie Pen) แล้วสแกนกลับเข้าคอมพิวเตอร์อีกที ทำให้ข้อมูลที่ถูกคาดดำสามารถอ่านได้หากปรับแสงดีๆ เพราะยังเห็นรอยหมึกของตัวหนังสือเดิมอยู่
ข้อมูลสำคัญที่หลุดออกมามีดังนี้
Satya Nadella ซีอีโอไมโครซอฟท์ไปให้การกับ FTC ในคดีซื้อ Activision Blizzard โดยแสดงความเห็นต่อประเด็นเกมเอ็กซ์คลูซีฟซึ่งเป็นแกนกลางของคดีนี้ว่า ถ้าเขามีอำนาจมากพอ เขาอยากยกเลิกระบบเอ็กซ์คลูซีฟของเกมคอนโซลไปซะทั้งหมดเลย แต่ในตอนนี้เขาไม่อยู่ในสถานะที่จะทำแบบนั้นได้
Nadella บอกว่าไมโครซอฟท์อยู่ในตลาดเกมคอนโซลที่มีส่วนแบ่งตลาดน้อย และตลาดถูกกำหนดโดยผู้เล่นรายใหญ่ที่จำกัดการแข่งขันด้วยวิธีเอ็กซ์คลูซีฟ นี่คือโลกที่เราอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเขาไม่อยากอยู่ในโลกแบบนี้
เขาบอกว่าแนวทางแบบกว้างๆ ของเขาคือผลักดันซอฟต์แวร์ไปอยู่ให้มากแพลตฟอร์มที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ นี่คือวิถีทางของไมโครซอฟท์ที่เขาเติบโตขึ้นมาแบบนี้ เป็นวิถีทางที่เขาเชื่อมั่น
เอกสารของไมโครซอฟท์ในคดีไต่สวนของ FTC เปิดเผยว่า ไมโครซอฟท์สนใจซื้อ Square Enix เพื่อเจาะตลาดเกมฝั่งญี่ปุ่น รวมถึงใช้ขยายตลาดไปยังเกมมือถือด้วย
เอกสารนี้เป็นไอเดียของผู้บริหารไมโครซอฟท์ในปี 2019 ใช้โค้ดเนมว่า "Project Phoenix" อธิบายเหตุผลที่สนใจซื้อ Square Enix เพราะอยากเป็นเจ้าของแฟรนไชส์หลัก 3 อันคือ Final Fantasy, Dragon Quest, Kingdom Hearts เพื่อขยายฐานผู้เล่น Xbox ในญี่ปุ่น และใช้แฟรนไชส์เกมเหล่านี้ขยายไปทำเกมมือถือ
นอกจาก Stadia แล้ว ผู้ให้บริการคลาวด์เกมมิ่งอีกรายที่ต้องมาให้การกับ FTC ในคดีไมโครซอฟท์คือ Phil Eisler หัวหน้าธุรกิจ GeForce Now ของ NVIDIA
Eisler ให้ข้อมูลในภาพกว้างว่าบริการคลาวด์เกมมิ่งใกล้เคียงกับการเล่นจากคอนโซลมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจุดเด่นของ GeForce Now คือเซิร์ฟเวอร์แรงกว่าคอนโซลมาก แสดงผลเฟรมเรตได้สูงๆ จากเดิม 30 fps ตอนนี้เพิ่มมาเป็น 60 fps และมุ่งสู่ 240 fps แล้ว
ในประเด็นเรื่องเกม Eisler เล่าว่าช่วงที่ GeForce Now เปิดทดสอบเบต้า มีเกมของ Activision Blizzard เข้าร่วมด้วย ซึ่งเกม Call of Duty ถือเป็นเกมหนึ่งที่ได้รับความนิยม แม้ Activision ถอดเกมออกจากระบบในภายหลัง
เก็บตกประเด็นต่างๆ ของ Jim Ryan ซีอีโอของ Sony Interactive Entertainment (SIE) ที่ให้การกับ FTC ในคดีไมโครซอฟท์ซื้อ Activision Blizzard
ทนายของไมโครซอฟท์มีโอกาสถาม (แทนใจหลายๆ คน) โดยเริ่มจากคำถามพื้นๆ ว่า
Q: คุณคิดว่าไมโครซอฟท์ควรนำเกม Activision ลง PlayStation ต่อไปหรือไม่
A: ใช่
Q: คุณคิดว่าไมโครซอฟท์จะได้ประโยชน์สูงสุดจากการทำเกม Activision เป็นมัลติแพลตฟอร์มหรือไม่
A: ไม่ใช่
Q: ถ้าคุณต้องบริหาร Xbox คุณจะเอาเกม Call of Duty และเกมอื่นของ Activision เป็นเอ็กซ์คลูซีฟ Xbox และพีซีหรือไม่
A: คำถามนี้เป็นเรื่องสมมติ (hypothetical question) และผมไม่อยากตอบคำถามนี้