Automobile
เรียกได้ว่าแรงทะลุชาร์ทสำหรับ Tesla Model S รุ่นใหม่ที่เพิ่งถูกรีวิวโดย Consumer Reports และทำคะแนนได้เกิน 100 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์รถยนต์ของโลกใบนี้
Tesla Model S (P85D) เป็นรถซีดานมอเตอร์คู่ ขับเคลื่อนได้ทุกล้อ เปิดตัวมาเมื่อปลายปี 2014 ที่นอกจากจะทำความเร็วจาก 0 ไป 60 ไมล์ได้ภายใน 3.2 วินาทีแล้ว ยังมาพร้อมกับระบบช่วยขับอัตโนมัติ (Autopilot) ที่ทางนิตยสาร Consumer Reports ได้ลองขับแล้วก็สัมผัสได้ถึงการผสมผสานของเทคโนโลยีที่ไม่เคยพบมาก่อน ออกมาเป็นคะแนนเกินมาตรฐานที่ 103 จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน จนทำให้ทาง Consumer Reports มีแผนปรับระบบการให้คะแนนในอนาคตอีกด้วย
กูเกิลได้ทดสอบรถไร้คนขับบนถนนจริงมาซักพักใหญ่ๆ และตัวรถก็ได้เรียนรู้พฤติกรรมต่างๆ ของรถยนต์ร่วมถนน มนุษย์และแน่นอนว่าจักรยานด้วยเช่นกัน แต่ทว่ากรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นเมื่อตัวรถเจอกับนักปั่นจักรยานฟิกเกียร์กลับสร้างความสับสนให้กับรถของกูเกิลไม่ใช่น้อย
เมื่อเดือนที่แล้ว มีข่าวนักวิจัยด้านความปลอดภัยเผยช่องโหว่ของรถยนต์ Chrysler จนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ล่าสุดนักวิจัยทั้งสองคนได้งานทำแล้วที่ Uber ครับ
นักวิจัยด้านความปลอดภัยทั้งสองคนคือ Charlie Miller (เคยทำงานกับ Twitter) และ Chris Valasek (บริษัทความปลอดภัย IOActive) ยื่นใบลาออกและเตรียมเริ่มงานกับ Uber ในสัปดาห์หน้า โดย Uber ระบุว่าจะส่งเข้าศูนย์วิจัย Advanced Technologies Center ที่เมือง Pittsburgh ซึ่งบริษัทจ้างนักวิจัยด้านรถยนต์จำนวนมากมาจากมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon
ส่วนหน้าที่งานของทั้งคู่เป็นเรื่องความปลอดภัยของรถยนต์ไร้คนขับที่ Uber กำลังพัฒนาอยู่
ศึกชิงตัวพนักงานระดับสูงระหว่าง Tesla และแอปเปิลยังคงดำเนินต่อไปนะครับ ล่าสุดวิศวกรอาวุโสคนหนึ่งของฝั่ง Tesla ได้ย้ายไปทำงานกับแอปเปิลแล้ว โดยเรื่องการย้ายบริษัทดังกล่าวไม่ได้มีการเปิดเผยออกมาแต่อย่างใด แต่มีคนไปพบว่าโปรไฟล์ LinkedIn ของ Jamie Carlson ได้มีการอัพเดตว่าปัจจุบันทำงานให้กับแอปเปิล เกี่ยวข้องกับ "โปรเจ็คพิเศษ" หรือ "Special Projects" ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นงานเกี่ยวกับรถยนต์อัจฉริยะที่มีข่าวลือว่าแอปเปิลกำลังซุ่มพัฒนาอยู่ แหล่งข่าวยังเสริมว่ามีวิศวกรอีกอย่างน้อย 6 คนก็ย้ายไปทำงานกับแอปเปิลเช่นกัน
ยังคงมีความพยายามสร้างนวัตกรรมแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงมาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ และล่าสุดเป็นคิวของ StoreDot บริษัทหน้าใหม่สัญชาติอิสราเอล ที่เพิ่งมาโชว์แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนโฉมใหม่ที่สามารถชาร์จจนเต็มได้ภายในไม่กี่นาที
StoreDot ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2012 โดยทีมนักวิจัย และนักศึกษาปริญญาเอกกว่า 50 คน โดยวิธีการแก้ไขปัญหาแบตเตอรี่แบบฉบับจะต่างจากของเจ้าอื่นๆ ตรงที่ไม่ได้เน้นหาวิธีการมาใช้กับแบตเตอรี่แบบเดิม แต่เป็นความพยายามในการใช้เทคโนโลยีระดับนาโนเพื่อสร้างแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนรูปแบบใหม่ให้มีความต้านทานภายในต่ำที่สุดร่วมกับอิเล็กโทรดที่บางถึงขั้นเกือบโปร่งแสง ทำให้พลังงานสามารถส่งไปยังแบตเตอรี่ได้อย่างรวดเร็ว
แม้จะกระแสเริ่มดีจากการเปิดตัว Model S แต่ดูเหมือนสถานะทางการเงินของฝั่ง Tesla ในตอนนี้จะยังไม่ค่อยสู้ดีนัก หลังจากเอกสารที่ส่งให้กับผู้ถือหุ้นรอบล่าสุดระบุว่า Tesla ใช้จ่ายเงินไปมากพอตัว รวมถึงขาดทุนจากการดำเนินการกว่า 47 ล้านเหรียญ
จากเอกสารล่าสุด ระบุว่าเงินสดของ Tesla ตกลงจากปีก่อนที่ 2.67 พันล้าน ลงมาอยู่ที่ 1.15 พันล้าน ในขณะเดียวกันก็ขาดทุนราว 47 ล้านเหรียญ เมื่อเทียบกับยอดขายที่ทำได้ราว 11,500 คันในไตรมาสล่าสุด จะตีคร่าวๆ ได้ว่า Tesla ขาดทุนประมาณ 4,000 เหรียญต่อรถยนต์หนึ่งคันที่ขายก็ว่าได้ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการผลิตที่ยังซับซ้อน และแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ยังมีราคาแพงอยู่
หลังจากเจรจากันมานาน ในที่สุดโนเกียก็สามารถขายธุรกิจแผนที่ HERE ให้กลุ่มบริษัทรถยนต์จากเยอรมนี 3 รายคือ Audi, BMW, Daimler (เจ้าของ Mercedes-Benz) ในราคา 2.8 พันล้านยูโร กระบวนการขายจะเสร็จสมบูรณ์ในไตรมาสแรกของปี 2016
Rajeev Suri ซีอีโอของโนเกียระบุว่าการขาย HERE ทำให้โนเกียเสร็จสิ้นกระบวนการเปลี่ยนผ่านตัวเองมาสู่ยุคใหม่ ซึ่งประกอบด้วยการซื้อหุ้นทั้งหมดของ Nokia Siemens Network, การขายธุรกิจโทรศัพท์, และการขายธุรกิจแผนที่ นับจากนี้ไป โนเกียจะกลายเป็นบริษัทใหม่ที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเครือข่ายและบริการ
เห็นคู่แข่งอย่างกูเกิลทำรถยนต์ของตัวเองมาได้พักใหญ่ ตอนนี้มีรายงานจาก Reuters ระบุว่าแอปเปิลเพิ่งไปคุยกับผู้บริหารของ BMW ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่สัญชาติเยอรมันถึงโรงงานประกอบรถยนต์ Leipzig เพื่อเรียนรู้การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าจาก BMW บ้างแล้ว
ในระหว่างการเยี่ยมชม ผู้บริหารของแอปเปิลหลายคนสนใจรายละเอียดการออกแบบรถยนต์รุ่นใหม่ของ BMW ซีรีส์ i3 รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้ตัวถังจากคาร์บอนไฟเบอร์ต่างจากรถยนต์ทั่วไป ซึ่งทาง BMW เองก็ระมัดระวังเรื่องการเผยความลับในการผลิตรถยนต์รุ่นดังกล่าวอย่างมาก ทำให้การเยี่ยมชมครั้งนี้จบลงที่การไปดูโรงงานประกอบ แล้วไปหาทางพัฒนาตามแนวทางของตัวเองกันต่อไป ไม่มีการร่วมมือกันทำรถยนต์รุ่นใหม่ตามที่มีข่าวลือมาหลายรอบในขณะนี้
รถยนต์ไร้คนขับของกูเกิลที่นับวันดูจะเป็นรูปเป็นร่างไปเรื่อยๆ และตอนนี้ก็มีรายละเอียดเบื้องหลังการพัฒนาโครงการรถยนต์นี้ออกมาเพิ่มเติมจากเอกสารของ The Guardian ผ่านกฎหมายว่าด้วยบันทึกสาธารณะ (Public Record Act) เมื่อไม่นานมานี้ออกมาแล้ว
โดยเจ้ารถยนต์ไร้คนขับของกูเกิลที่ถูกเรียกกันเล่นๆ ว่า Google Car แท้จริงแล้วพัฒนา และผลิตขึ้นโดยบริษัทย่อยของกูเกิลที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2011 ในชื่อ Google Auto นำทีมโดย Chris Urmson ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมพัฒนารถยนต์ไร้คนขับอยู่แล้ว โดยในเอกสารชิ้นดังกล่าวระบุว่ากูเกิลเคยมีความพยายามจะสร้างพันธมิตรกับบรรดาผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ต่างๆ แต่ก็ไม่เกิดขึ้นเป็นจริงจัง เพราะกูเกิลสามารถผลิตรถยนต์ได้เองเมื่อปีก่อนอย่างถูกกฎหมายไปแล้ว
เราเริ่มเห็นค่ายรถยนต์เปิดตัวรถรุ่นปี 2016 ที่รองรับทั้ง Android Auto และ Apple CarPlay โดยข่าวก่อนหน้านี้คือ Honda ที่เปิดตัวไปแล้ว คราวนี้เป็นคิวของค่ายรถเยอรมัน Volkswagen บ้าง
Volkswagen of America ประกาศว่ารถยนต์รุ่นปี 2016 เกือบทุกแบรนด์ย่อยของบริษัทที่ขายในสหรัฐ จะมีระบบความบันเทิงในรถยนต์แบบใหม่ที่เรียกว่า MIB II ที่พลังประมวลผลเพิ่มขึ้น หน้าจอละเอียดขึ้นกว่าเดิม ใช้จอสัมผัสแบบ capacitive เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด รองรับการสั่งงานด้วยนิ้วทั้ง swipe และ pinch zoom, ฮาร์ดแวร์รุ่นล่างสุดใช้จอ 5" 400x240 แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นไปถึงจอขนาด 8" ในรุ่นท็อปสุด
บริการ OnStar ของรถ GM ใช้สำหรับบอกตำแหน่งรถ, ปลดล็อกประตู, และสตาร์ตเครื่องล่วงหน้าอ่านทางแอพพลิเคชั่น RemoteLink แต่ Samy Kamkar พบว่าหากดักฟังการสื่อสารระหว่างโทรศัพท์มือถือกับเซิร์ฟเวอร์ได้ ก็จะสามารถควบคุมรถไปได้ตลอด
ตัวแอพ RemoteLink ไม่ได้ตรวจสอบใบรับรองของเซิร์ฟเวอร์ ทำให้เสี่ยงต่อการถูกดักฟังแบบ MITM ตอนนี้มีผู้ติดตั้งแอพไปแล้วกว่าล้านราย
ผู้ใช้จะต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi ของแฮกเกอร์ หากกำลังเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ของแฮกเกอร์แล้วเปิดแอพ RemoteLink แฮกเกอร์ก็จะเข้าควบคุมบัญชีไปได้ตลอด สามารถสั่งการได้เหมือนเป็นเจ้าของรถ และสามารถเข้าไปอ่านข้อมูลส่วนตัวของเจ้าของรถ ทั้งที่อยู่, หมายเลขบัตรเครดิต 4 หลังสุดท้ายและวันหมดอายุบัตร
ปัญหาสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนเวลากลางวันแดดจ้าจนมองป้ายตามทางไม่ค่อยเห็นเริ่มมีคนหาวิธีแก้ไขแล้ว หลังจากออสเตรเลียเพิ่งประกาศใช้ป้ายจราจรแบบใหม่ที่ใช้หน้าจอ E Ink มาช่วยแสดงผล หลังจากผ่านช่วงทดลองมาได้ระยะหนึ่ง
ตัวป้ายจราจรพร้อมหน้าจอ e-paper ได้รับการพัฒนาโดย Roads and Maritime Services (RMS) ของออสเตรเลีย ซึ่งจับมือกับบริษัทผู้พัฒนาหน้าจอ e-paper ในสหรัฐฯ ซึ่งนอกจากจะสามารถเห็นได้ชัดเจนช่วงกลางแจ้งแล้ว ยังแสดงผลข้อมูลแบบแก้ไขได้อีกด้วย โดยในปัจจุบันใช้แสดงผลข้อมูลความหนาแน่นท้องถนนในช่วงงานอีเวนท์
Android Auto เป็นแพลตฟอร์มสำหรับรถยนต์จากกูเกิล แต่จำเป็นต้องใช้ร่วมกับมือถือ Android 5.0 ขึ้นไป จึงสามารถเปิดการทำงานได้ระบบนี้ได้ ในการใช้งานจึงจำเป็นต้องมีมือถือ Android 5.0 ขึ้นไป และระบบอินโฟเทนเมนท์ในรถยนต์รองรับการทำงานของ Android Auto
Ars Technica ได้ทดสอบ Android Auto บนรถยนต์ Hyundai Sonata (2015) ซึ่งนอกจากจะรองรับ Android Auto แล้ว ยังมีระบบอินโฟเทนเมนท์ที่ติดมากับรถยนต์ซึ่งใช้ Android 2.3.4 แต่สเปคอยู่ในระดับมือถือรุ่นกลางๆ ในปี 2011 ตัวหน้าจอติดรถมีขนาด 8 นิ้ว ความละเอียด 800x480 พิกเซล หรือประมาณ 116 DPI ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับสเปคโดยรวมของแท็บเล็ตสมัยนี้
ต่อจากข่าว ช่องโหว่รถยนต์ Chrysler ที่ติดตั้งระบบ Uconnect ควบคุมรถได้จากระยะไกล วันนี้ทาง Chrysler ประกาศให้รถยนต์รุ่นที่ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่นี้จำนวน 1.4 ล้านคันในสหรัฐไปอัพเดตซอฟต์แวร์แล้ว
Chrysler จะส่งไดรฟ์ USB ให้เจ้าของรถยนต์ 1.4 ล้านคันทางไปรษณีย์เพื่ออัพเดตรถยนต์ของตัวเอง หรือจะเลือกเข้าศูนย์ใกล้บ้านเพื่อให้เจ้าหน้าที่อัพเดตให้ก็ได้เช่นกัน รถยนต์รุ่นที่เข้าข่ายมีทั้งแบรนด์ Jeep, Dodge, Ram รุ่นระหว่างปี 2013-2015 (รายชื่อตามลิงก์ต้นข่าว)
นอกจากการอัพเดตซอฟต์แวร์ให้รถยนต์แล้ว Chrysler ยังประกาศเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในระดับเครือข่าย โดยทดสอบแล้วว่าสามารถบล็อคการแฮ็กระบบที่อาศัยช่องโหว่ตามข่าวได้
Honda เปิดตัว Accord รุ่นปี 2016 มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย เป็นรถยนต์รุ่นแรกที่รองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto และเป็นครั้งแรกที่ Honda เปิดตัวรถยนต์ในซิลิคอนวัลเลย์
Charlie Miller และ Chris Valasek นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตรียมเปิดเผยช่องโหว่ของรถยนต์ Chrysler ที่ติดตั้งระบบ Uconnect ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อให้บริการด้านความบันเทิง, ระบบนำทาง, ระบบแนะนำการขับอย่างประหยัดน้ำมัน
นักวิจัยทั้งสองคนสามารถเจาะเข้าไปแก้ไขเฟิร์มแวร์ของ Uconnect ให้ส่งคำสั่งเข้าไปยังระบบควบคุมรถผ่าน CAN bus ได้สำเร็จ ทำให้สามารถเข้าควบคุมความเร็วรถ และเป็นไปได้ว่าจะควบคุมพวงมาลัย
ความน่ากลัวของช่องโหว่นี้คือระบบ Uconnect นั้นเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ทำให้แฮกเกอร์ควบคุมรถจากระยะไกลหลายกิโลเมตร
Ford เผยงานพัฒนาระบบไฟส่องสว่างหน้ารถอันสุดล้ำ ที่สามารถปรับมุมส่องลำแสงไปตามทางแยกหรือโค้งของถนนได้ ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยแก่ผู้ขับขี่และเพื่อนร่วมทาง และยังมีระบบตรวจจับคนหรือสัตว์ที่เดินอยู่ในมุมมืดเพื่อส่องไฟไปยังจุดดังกล่าวได้ด้วย
GoPro และ Toyota เตรียมติดตั้งเมาท์กล้อง GoPro มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานประจำรุ่น Toyota Tacoma และถือเป็นรุ่นแรกและรายแรกของอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์นี้
ผู้ใช้งาน Toyota Tacoma มักจะบันทึกวิดีโอเส้นทางออฟโรดของพวกเขา การเพิ่มเมาท์ GoPro เข้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่นที่กำลังจะออกสู่ตลาดจะช่วยลดความยุ่งยากในการจัดวางตัวกล้อง และจะทำให้ลูกค้าที่ซื้อรถยนต์รุ่นนี้ไปตัดสินใจซื้อกล้อง GoPro ได้ง่ายขึ้น
ยังไม่มียืนยันตำแหน่งการติดตั้งเมาท์กล้อง GoPro ในรุ่นรถนี้อย่างเป็นทางการ
ที่มา – SlashGear
Google เปิดตัวรถยนต์ไร้คนขับขนาดเล็กรุ่นต้นแบบมาซักพักใหญ่ๆ และคำอธิบายของรถรุ่นนี้มีแค่เพียงว่า ควบคุมด้วยปุ่มเพียงปุ่มเดียว แต่ก็ยังไม่เคยมีภาพของภายในห้องโดยสารของตัวรถออกมาให้เห็น ล่าสุด Google ได้โชว์ตัวรถแก่สาธารณะและเปิดให้คนทั่วไปชมภายในของรถเป็นครั้งแรกแล้วครับ
The Washington Post เก็บภาพของตัวรถมาจากงาน Community School of Music and Arts (ซึ่งก็ขอภาพมาจากคนที่มาร่วมงานอีกที) ในเขตเมือง Mountain View มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นงานที่ Google เปิดโอกาสให้ศิลปินส่งประกวดผลงานของตัวเอง เพื่อที่จะนำไปตกแต่งเป็นลายบนตัวรถ ซึ่งงานนี้หนึ่งในความพยายามของ Google ในการปรับทัศนคติของคนที่มองว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างรถไร้คนขับนั้นไม่ปลอดภัยและไม่น่าเชื่อถือ
ต้นเดือนที่แล้วทาง Google ได้เปิดเว็บไซต์รายงานความคืบหน้าและสถานการณ์ต่างๆ ของการทดสอบรถยนต์ไร้คนขับเป็นรายเดือน ซึ่ง Google ก้ได้ปล่อยรายงานเดือนมิถุนายนออกมาแล้ว โดยรถ Lexus โดนชนท้าย 2 ครั้ง ขณะที่รถเล็ก ยังไม่เจออุบัติเหตุ
เราเห็นข่าวการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับของกูเกิลมาอย่างต่อเนื่อง แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเป้าหมายของกูเกิลในการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับนี้ว่าท้ายที่สุดแล้วจะไปอยู่ส่วนไหนในธุรกิจของกูเกิล ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีเบาะแสออกมาบ้างแล้ว
เบาะแสที่ว่ามาจาก Steve Jurvetson หนึ่งในผู้ก่อตั้ง VC ชื่อดังอย่าง Draper Fisher Jurvetson ออกมาให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg โดยอ้างว่าเขาได้ข้อมูลวงในเกี่ยวกับโครงการรถยนต์ไร้คนขับของกูเกิล โดยระบุว่าท้ายที่สุดแล้วจะถูกนำไปให้บริการแท็กซี่
บริการแท็กซี่ของกูเกิลที่ถูกพูดถึงนั้นเรียกว่า "Free Ride" เป็นแอพเรียกรถแท็กซี่ที่ให้บริการฟรี แลกกับการโฆษณา โดยช่วงแรกจะยังมีคนขับที่เป็นมนุษย์ก่อน หลังจากเดินแผนไปได้ซักระยะจึงปรับเป็นรถยนต์ไร้คนขับทั้งหมด
เชฟโรเลตออกประกาศติดตั้งช่องวางสมาร์ทโฟนรูปแบบใหม่ที่มาพร้อมกับช่องปล่อยแอร์ภายในตัว เพื่อช่วยระบายความร้อนจากการใช้งานและชาร์จไฟกลับไปในตัว
เชฟโรเลตอธิบายว่าปัจจุบันผู้ใช้เริ่มหันมาใช้สมาร์ทโฟนในรถยนต์กันเยอะมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดแผนที่, นำทาง, ฟังเพลง, เชื่อมต่อ CarPlay หรือ Android Auto เป็นต้น ซึ่งการใช้งานเหล่านี้ พร้อมกับการชาร์จไฟกลับไปในตัว จะช่วยเพิ่มความร้อนสะสมให้กับสมาร์ทโฟนเครื่องนั้นๆ จนในที่สุดสมาร์ทโฟนเครื่องก็เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
ก่อนหน้านี้สำนักข่าว Reuters ได้รายงานว่ารถไร้คนขับของ Delphi เกือบชนกับรถของ Google ขณะทดสอบวิ่ง โดยอ้างอิงจากคำพูดของ John Absmeier ผอ. ของแล็บใน Silicon Valley ของ Delphi และผู้โดยสารในรถคันที่เป็นประเด็น ล่าสุดโฆษกของ Delphi ได้ชี้แจงแล้วว่า Reuters เข้าใจผิด ไม่ได้มีการ "เกือบ" ชนเกิดขึ้น และเรื่องราวที่รายงานทั้งหมดนั้นไม่ใช่สิ่งที่ Delphi ต้องการจะสื่อ (out of context)
Delphi หนึ่งในผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ได้ประกาศพัฒนารถยนต์ไร้คนขับของตัวเอง และถือได้ว่ามีความก้าวหน้าไม่แพ้ฝั่ง Google โดยการทดสอบวิ่งบนถนนจริงเมื่อไม่กี่วันมานี้ ได้เกิดเหตุการณ์ที่รถไร้คนขับของทั้ง 2 เจ้า"เกือบ"จะชนกันขึ้น
John Absmeier ผอ. ของแล็บใน Silicon Valley ของ Delphi ได้ให้สัมภาษณ์กับ Reuters ว่าตัวเขาเป็นผู้โดยสารอยู่ใน Audi Q5 รถไร้คนขับของ Delphi โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันอังคารทีผ่านมา ขณะที่ Audi Q5 กำลังจะเปลี่ยนเลนรถ Lexus ของ Google ได้แทรกเข้ามา (cut off) ทำให้ซอฟต์แวร์บนรถ Audi ตัดสินใจยกเลิกการเปลี่ยนเลน
กูเกิลโชว์รถไร้คนขับขนาด 2 ที่นั่ง ที่ถูกควบคุมโดยคอมพิวเตอร์อย่างเดียว ไม่มีคันเร่งหรือเบรกไปตั้งแต่กลางปีที่แล้ว และตอนนี้ได้ปล่อยให้ทดลองวิ่งบนถนนจริงใน Mountain View มลรัฐแคลิฟอร์เนียแล้ว
ในการทดสอบกูเกิลได้ให้คนขับนั่งไปในรถด้วย เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน พร้อมทั้งติดตั้งพวงมาลัย คันเร่งและเบรกแบบถอดได้เข้าไปด้วยเช่นกัน รถรุ่นนี้สามารถวิ่งได้ที่ความเร็วสูงสุด 25 ไมล์ต่อชั่วโมงหรือประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น โดยซอฟต์แวร์ของรถรุ่นนี้เป็นตัวเดียวกับที่ถูกใช้ใน Lexus รถไร้คนขับที่กูเกิลกำลังพัฒนาอยู่ในขณะนี้